เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 4 พ.ย. 2568 ณ สำนักงาน ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (ธปท.อีสาน) นาย ทรงธรรม ปิ่นโต ผู้อำนวยการอาวุโส เปิดเผยว่า เศรษฐกิจในครึ่งแรกของปี 2568 ยังคงทรงตัว เนื่องจากได้รับแรงหนุนจากการท่องเที่ยวและการส่งออกของผู้ประกอบการที่เร่งก่อนจะถูกมาตรการภาษีของสหรัฐฯเข้ามา แต่ในไตรมาส 3 แรงหนุนดังกล่าวหายไป ส่งผลให้ทั้งภาคการบริโภค การผลิต และการลงทุนมีการชะลอตัว ในขณะที่ไตรมาส 4 รัฐได้ปล่อยมาตรการกระตุ้นผ่านโครงการ “คนละครึ่ง พลัส” ทำให้ตัวเลขเริ่มขยับขึ้นเล็กน้อย

นายทรงธรรมกล่าวว่า ในปี 2569 เมื่อโครงการคนละครึ่ง พลัสสิ้นสุดลง ปัจจัยลบหลายอย่างจะกลับมา โดยเฉพาะภาคการเกษตร เช่น มันสำปะหลัง ยางพารา อ้อย และข้าว ซึ่งแม้ผลผลิตจะได้ แต่ราคาตกต่ำ เนื่องจากคู่แข่งอย่าง อินเดียและ เวียดนามกลับมาเร่งส่งออกข้าวอีกครั้ง ดังนั้น ภาคการเกษตรในปีหน้าจึง “ยังไม่ค่อยดี” และหากไม่มีมาตรการใหม่เข้ามา เศรษฐกิจภาพรวมอาจ “ไม่ค่อยจะโต”

สำหรับโครงการ คนละครึ่ง พลัสนั้น เป็นมาตรการของภาครัฐที่สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นได้เป็นอย่างดี โดยในไตรมาส 3 เศรษฐกิจชะลอ เมื่อเข้าสู่ไตรมาส 4 ซึ่งตรงกับช่วงเทศกาล เช่น ลอยกระทง และ ปีใหม่ ทำให้เกิดการจับจ่ายใช้สอยเพิ่มขึ้น โดยเม็ดเงินในโครงการรวมอยู่ที่ 66,000 ล้านบาท ในภาคอีสานอยู่ที่ประมาณ 18,400 ล้านบาท หรือคิดเป็น 28 % ของวงเงินทั้งหมด เมื่อนับรวมเงินสมทบของประชาชน แล้วรวมเม็ดเงินใช้จ่ายในภาคอีสานอยู่ที่ราว 27,400 ล้านบาท คิดเป็นประมาณ 1.3 % ของจีดีพีอีสาน
จากการเก็บข้อมูล พบว่า ยอดการใช้จ่ายในช่วง 5 วันแรกของโครงการ (29 ต.ค.–2 พ.ย.) เกิดการกระตุ้นการใช้จ่ายกว่า 10,000 ล้านบาท และในภาคอีสานมียอดการใช้จ่ายสูงเป็นอันดับ 2 รองจากกรุงเทพฯ
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าในไตรมาส 4 รวมถึงการจับจ่ายจะเริ่มฟื้นจากโครงการคนละครึ่ง พลัส แต่จากข้อมูลในอดีตพบว่า เมื่อโครงการสิ้นสุดแล้ว ภาคการบริโภคจะกลับสู่ภาวะชะลออีกครั้ง หากไม่มีการผลักดันมาตรการใหม่เข้ามาแรงกระตุ้นก็อาจจะแผ่วลงได้
ทีมข่าวขอนแก่นลิงก์




Leave a Response