🔎 เท้าบวมมี 2 แบบ สังเกตได้เอง
🧬 บวมแบบกดแล้วบุ๋มอาจเสี่ยงโรคร้าย
💊 สาเหตุหลากหลาย ตั้งแต่ยา ยันโรคเรื้อรัง
⚖️ ควบคุมน้ำหนัก ลดบวมได้
🏥 บวมผิดปกติ ต้องพบแพทย์ทันที
อาการ “เท้าบวม” ที่หลายคนมองว่าเป็นเพียงปัญหาเล็กน้อย อาจเป็นสัญญาณเตือนของโรคเรื้อรังหรือโรคอันตรายที่ซ่อนอยู่โดยไม่รู้ตัว โดยเฉพาะเมื่ออาการบวมเกิดขึ้นบ่อย หรือรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ จึงควรเรียนรู้วิธีสังเกตเบื้องต้นว่าอาการบวมแบบไหนควรพบแพทย์ และแบบไหนสามารถดูแลได้เอง
เท้าบวม แบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ ได้แก่:
- บวมแบบกดแล้วไม่บุ๋มค้าง
ใช้ปลายนิ้วกดบริเวณที่บวมค้างไว้ 5–10 วินาที หากเมื่อยกนิ้วออกแล้วไม่บุ๋ม แต่เป็นเนื้อแน่น ๆ ผิวขรุขระคล้ายเปลือกส้ม สาเหตุอาจเกิดจากการอุดตันของระบบน้ำเหลือง ซึ่งพบได้น้อยแต่จำเป็นต้องพบแพทย์ เพราะอาจเป็นอาการเบื้องต้นของ “เท้าช้าง” หรือความผิดปกติของระบบน้ำเหลือง - บวมแบบกดแล้วบุ๋มค้าง
เมื่อกดแล้วผิวบุ๋มลงและยังไม่คืนรูปทันที สาเหตุหลัก ๆ ที่พบบ่อย ได้แก่
- หลอดเลือดดำอุดตัน
- อาการแพ้ยา หรือสารบางชนิด
- การติดเชื้อ หรืออุบัติเหตุ
- ภาวะบวมน้ำ จากน้ำหนักตัวที่มากเกินไป
- ผลข้างเคียงของยา เช่น ยาลดความดัน หรือยาคุมกำเนิด
อาการเท้าบวมยังอาจเป็นสัญญาณเริ่มต้นของโรคร้ายต่าง ๆ เช่น:
- โรคไต
- โรคหัวใจ
- โรคตับแข็ง หรือมะเร็งตับ
- ดีซ่าน
- เบาหวาน
- เส้นเลือดขอด
- ขาดสารอาหาร โดยเฉพาะโปรตีน
ข้อควรปฏิบัติเมื่อมีอาการเท้าบวม:
- หากน้ำหนักเกิน ควรลดน้ำหนัก ควบคุมอาหาร และออกกำลังกายสม่ำเสมอ
- หลีกเลี่ยงอาหารรสจัด เช่น หวานจัด เค็มจัด เผ็ดจัด เปรี้ยวจัด
- ไม่ควรยืนนิ่งหรือนั่งท่าเดิมนาน ๆ ควรขยับขาให้เลือดไหลเวียน
- ยกเท้าสูงก่อนนอนช่วยลดบวมได้ดี
- หากบวมมากผิดปกติ ไม่ยุบ หรือมีอาการอื่นร่วม เช่น หายใจลำบาก เจ็บแน่นหน้าอก หรือไข้ ควรรีบพบแพทย์โดยเร็ว
อาการ “เท้าบวม” จึงไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยเสมอไป เพราะอาจเป็นสัญญาณของภาวะผิดปกติในร่างกายหรือโรคเรื้อรังที่ต้องการการรักษาอย่างเร่งด่วน ควรหมั่นสังเกตอาการของตัวเองและอย่านิ่งนอนใจเมื่อร่างกายส่งสัญญาณผิดปกติ
#เท้าบวมอย่านิ่งนอนใจ
#สัญญาณเตือนโรคเรื้อรัง
#บวมแบบไหนต้องพบหมอ
#ดูแลตัวเองก่อนโรคร้ายถามหา
#สุขภาพดีเริ่มที่การสังเกต
ทีมข่าวขอนแก่นลิงก์

Leave a Response