“อนุทิน” ลงพื้นที่ขอนแก่น

B7E48A92-78C7-4C3A-B538-27050651F547

อนุทินยอมรับกินข้าวบ้านลุงป้อมคุยเรื่องการเมืองจริง พร้อมระบุทำงานด้วยกันไม่มีอะไรขัดแย้งและหวังทำงานร่วมกันต่ออีกสมัย  สำหรับการยื่นฟ้องชูวิทย์ ทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย

เมื่อเวลา 14.30 . วันที่ 16 มี.. 2566 ที่โรงแรมโฆษะ . ขอนแก่น นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.สาธารณสุข เป็นประธานการประชุมเชิงปฏิบัติการชี้แจงหลักเกณฑ์ วิธีการเบิกจ่ายเงินค่าป่วยการ อสม. ผ่านระบบ e-Social welfare และส่งเสริมการใช้แอปพลิเคชั่น Smart อสม. โดยได้มอบนโยบายและให้กำลังใจ อสม. ที่ปฎิบัติหน้าที่ได้อย่างเข้มแข็งพร้อมทั้งแสดงความยินดีที่รัฐบาลได้ปรับขึ้นค่าป่วยการเป็นเดือนละ 2,000 บาท 

 นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าวว่า ภาพทานข้าวกับ พล..ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ นั้นเป็นเพราะ เราทำงานด้วยกันมา 4 ปี เดี๋ยวจะมีการเลือกตั้งที่จะมาถึง พล..ประวิตร เป็นหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐเป็นแกนนำหลักของรัฐบาลและตนเองก็เป็นหัวหน้าพรรคร่วมรัฐบาล 

เราทุกคนมีความเคารพนับถือท่านจริงๆไปรับประทานอาหารบ้านท่านปีละ 4-5 ครั้งอยู่แล้ว ครั้งนี้ถือว่าใกล้ครบวาระเลยชวนกันไปขออาหารกลางวันท่านซักมื้อ ท่านก็อนุญาตให้มา การไปครั้งนี้คุยเรื่องการเมืองแน่นอนไม่ได้คุยเรื่องอื่นหรอก ท่านก็ถามเรามีความคิดเห็นอย่างไร จะทำอย่างไรต่อไปในการจะสร้างความร่วมมือกันเพื่อให้เป็นประโยชน์กับบ้านเมืองนั้นคือวัตถุประสงค์ เราร่วมมือกันมา 4 ปีแล้ว ของพรรคพลังประชารัฐและพรรคภูมิใจไทยร่วมงานกันมาถ้าไม่มีอะไรขัดแย้งกันก็มีโอกาสสูงที่ร่วมงานกันต่อไปทำให้เป็นปึกแผ่นของรัฐบาลเพื่อให้การเมืองมีเสถียรภาพทำให้ภารกิจต่างๆที่ร่วมกันมา 4 ปี ถ้ายังสามารถร่วมงานกันได้อยู่ก็จะสามารถผลักดันและสานต่อได้ในอนาคต ก็ต้องพูดอะไรเผื่อไว้ก่อน

นายอนุทิน กล่าวต่ออีกว่า สำหรับกรณีที่ ...กิตติกานต์ หรือ สารวัตรกานต์ อายุ 51 ปี ตำแหน่งสารวัตร สังกัดกองบัญชาการตำรวจสันติบาล คลุ้มคลั่งกราดยิง เหตุเกิดภายในบ้านพักบ้านมั่นคง เขตสายไหม กรุงเทพฯ ซึ่งเจ้าหน้าที่ปิดล้อมกว่า 28 ชม. ก่อนจะสามารถยุติเหตุการณ์ดังกล่าวได้ โดยสารวัตรกานต์ถูกยิงได้รับบาดเจ็บ ที่บริเวณขา ถูกนำส่งโรงพยาบาลภูมิพล ก่อนนำตัวเข้าห้องไอซียู และเสียชีวิตในเวลาต่อมา ซึ่งช่วงหนึ่งที่เจ้าหน้าที่ได้มีการนำอากาศยานไร้คนขับ หรือ โดรน บินเข้าไปถ่ายภาพภายในห้องพักของสารวัตรกานต์ ทำให้ปรากฏภาพของกองบุหรี่และวัตถุสีฟ้าคล้ายบ้องกัญชา จนถูกโยงว่า ผู้ก่อเหตุมีการใช้กัญชาจนเกิดอาการทางประสาท รวมทั้งภาพต้นกัญชาที่ถูกปลูกไว้บริเวณด้านหลังห้องพักนั้น

ยืนยันว่า คุณสมบัติของกัญชาไม่ได้ออกฤทธิ์ไปในทางนั้น หากดูในภาพก็จะเห็นว่าบุหรี่กองเกลื่อน และยังมีของมึนเมาอื่นๆ อีกเยอะแยะ อย่าเพิ่งไปโทษกัญชา สิ่งที่เห็นว่าเป็นท่อนั้นก็ไม่ทราบว่าเป็นบ้องกัญชาจริงหรือเปล่า ในบ้านก็เห็นว่ามีการปลูกกัญชาอยู่ต้นเดียว และไม่รู้ว่าต้นชาที่ปลูกไว้มีอายุเท่าไหร่ ต้องดูรายละเอียดผลชันสูตร เราก็จะทราบข้อเท็จจริง ถ้าดูจากการเสพของมึนเมาจากภาพ ก็อย่าไปโทษกัญชาเลย เอาเป็นว่าเราอย่าให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นอีก เรื่องของการบำบัดฟื้นฟูผู้ที่มีภาวะสุขภาพจิตที่ไม่นิ่ง ก็จะต้องพยายามรักษาให้ได้มากขึ้น

นายอนุทิน กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับการที่จะให้ว่าที่ผู้สมัคร สส.ทั้ง 400 เขต ฟ้องนายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ นั้นยังไม่ทราบรายละเอียด โฆษกพรรคน่าจะแถลงอะไรบางอย่าง ทุกอย่างเป็นไปตามกฎหมาย ซึ่งเรื่องนี้เป็นสิทธิของแต่ละคนคงจะออกมาเป็นมติพรรคไม่ได้ ใครเดือดร้อนรู้สึกว่าถูกกระทำ ละเมิดหรือไม่ถูกต้องเป็นสิทธิของแต่ละคน อย่างไรก็ตาม ในการลงพื้นที่ครั้งนี้ ถือเป็นมาการร่ำลาเพื่อนข้าราชการและเจ้าหน้าที่ เป็นการไปลามาไหว้ และประชุมร่วมกับเขตสุขภาพทั้ง 4 เขต ครอบคลุมทั้งภาคอีสาน เพื่อสรุปผลงานที่ทำร่วมกันมาตลอด 4 ปี ว่ามีผลการดำเนินงานอะไรที่สำเร็จแล้วตามนโยบายที่มอบไว้ หรือมีอะไรที่ยังค้างคาอยู่ และสิ่งที่จะทำต่อไป

สำหรับเงินค่าป่วยการ อสม. ที่ เพิ่มจาก 1,000 บาท เป็น 2,000 บาท นั้น ถือว่าทุกคนมีความพึงพอใจ ซึ่งเมื่อเทียบกับภารกิจงานที่กระทรวงสาธารณสุขได้มอบหมายให้กับอสม.ถือเป็นสิ่งที่คุ้มค่า เพราะ อสม.ต้องทำหน้าที่เป็นหมอคนที่ 1 ของกระทรวงสาธารณสุข ที่จะต้องเสียสละเวลาในการเข้ารับการฝึกฝน เรียนรู้ และสามารถเข้ารับการศึกษาในหลักสูตรผู้ช่วยพยาบาล ผู้ช่วยสาธารณสุข ซึ่งจะทำให้มีวิชาชีพติดตัว และอีกไม่เกิน 3 ปี เราจะมีผู้ช่วยพยาบาล ผู้ช่วยสาธารณสุข ที่เป็น อสม. อยู่ทุกตำบลของประเทศไทย ที่จะดูแลสุขภาพของพี่น้องประชาชน

นายอนุทิน กล่าวในตอนท้ายว่า นอกจากนี้ อสม.ยังทำหน้าที่เป็นตำรวจเฝ้าในเรื่องไม่ให้มีการใช้ยาเสพติดในพื้นที่หมู่บ้าน ตำบลต่างๆ ซึ่งถือเป็นภารกิจที่สำคัญที่มีทั้งความเสี่ยง และภารกิจในด้านการคัดกรองสุขภาพผู้สูงอายุ เนื่องจากประเทศไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ เพื่อจัดทำฐานข้อมูลให้ผู้สูงอายุได้รับการดูแลจากกระทรวงสาธารณสุขให้มีคุณภาพชีวิต มีมาตรฐาน มีสุขภาวะที่ดี ซึ่งถือเป็นหน้าที่ที่สำคัญ โดย อสม. 1 คนจะต้องดูแลประชาชน 50 คน ซึ่งจะทำให้ระบบสาธารณสุขมีความเข้มแข็ง มากยิ่งขึ้น

Leave a Response

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง