ขอนแก่นคึกคัก! เวทีใหญ่ชี้อนาคต ACFTA 3.0 – FTA ไทย–ภูฏาน เปิดเกมใหม่ให้ธุรกิจไทยลุยตลาดจีน–ภูฏาน

IMG_8772

ไทยเดินหน้าหนุนผู้ประกอบการ ใช้โอกาส FTA อาเซียน–จีน 3.0 และ FTA ไทย–ภูฏาน เปิดเวทีใหญ่ที่ขอนแก่น เร่งเตรียมพร้อมรับการค้าเสรีรูปแบบใหม่ ACFTA 3.0 เป็นมากกว่า “การปรับปรุงความตกลงทางการค้า” แต่คือ “การยกระดับความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์” ที่จะวางรากฐานเศรษฐกิจอาเซียน–จีนในทศวรรษหน้า

เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 25 พฤศจิกายน 2568 ที่โรงแรมอวานี ขอนแก่น โฮเทล แอนด์ คอนเวนชั่น เซ็นเตอร์ นางอุมาพร ฟูตระกูล รองอธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เป็นประธานเปิดงานโครงการสัมมนา “เสริมพลังผู้ประกอบการไทย ด้วยโอกาสจาก FTA อาเซียน-จีน 3.0 และ FTA ไทย-ภูฏาน” เพื่อให้ผู้ประกอบการไทยรับรู้ข้อมูลล่าสุดของการยกระดับความตกลงทางการค้าเสรี และเตรียมพร้อมใช้ประโยชน์สูงสุดจากความตกลงที่จะมีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจไทยในอนาคต

นางอุมาพร ฟูตระกูล รองอธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์

นางอุมาพรกล่าวว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจผ่านแนวทาง “Quick Big Win” เพื่อเพิ่มความสามารถแข่งขันของไทย โดยกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศมีวิสัยทัศน์ในการขยายความตกลงการค้าเสรีให้ครอบคลุม 80% ของการค้าไทยทั่วโลกภายในปี 2570 ปัจจุบันไทยมี FTA รวม 17 ฉบับกับ 24 ประเทศ โดย FTA ไทย–ภูฏานถือเป็นฉบับล่าสุดและเจรจาเสร็จสิ้นอย่างรวดเร็วภายใน 9 เดือน ในส่วนของการยกระดับความตกลงการค้าเสรีอาเซียน–จีน หรือ “ACFTA 3.0” นั้น ตัวเลข “3.0” หมายถึงการปรับปรุงพัฒนาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ ACFTA เริ่มมีผลบังคับใช้ในปี 2547 ซึ่งเริ่มจากการเปิดตลาดสินค้าระหว่างอาเซียนและจีน ก่อนขยายไปสู่เรื่องบริการและการลงทุน ต่อมาในปี 2559 อาเซียนและจีนได้ปรับปรุงเป็น ACFTA 2.0 เพิ่มความสะดวกด้านศุลกากร และแก้ไขกฎถิ่นกำเนิดสินค้า ทำให้ผู้ประกอบการไทยใช้ประโยชน์จากโครงสร้างภาษีได้มากขึ้น ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา ACFTA เป็นกลไกหลักผลักดันการค้าระหว่างไทย–จีน โดยไทยมีมูลค่าการค้าเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 660 หรือ 7.6 เท่า ส่งผลให้จีนเป็นคู่ค้าอันดับหนึ่งของไทยติดต่อกัน 12 ปี ขณะที่อาเซียนเป็นคู่ค้าอันดับ 3 ของจีน และ ACFTA ถือเป็น FTA ที่ภาคธุรกิจใช้สิทธิประโยชน์สูงที่สุดในภูมิภาค และท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจโลก ทั้งเทคโนโลยี สิ่งแวดล้อม และความผันผวนจากภูมิรัฐศาสตร์ ทำให้ ACFTA 3.0 ต้องขยายประเด็นเจรจาจากสินค้า บริการ และการลงทุน ไปสู่ประเด็นใหม่ของโลกยุคปัจจุบัน เช่น เศรษฐกิจดิจิทัล เศรษฐกิจสีเขียว ความเชื่อมโยงห่วงโซ่อุปทาน การแข่งขันทางการค้า การคุ้มครองผู้บริโภค และการสนับสนุน MSMEs ทำให้ ACFTA 3.0 ไม่ใช่เพียงการปรับปรุงข้อความ แต่เป็น “การยกระดับความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์” ที่มีศักยภาพจะเป็นต้นแบบการพัฒนา FTA ระดับภูมิภาคฉบับอื่น เช่น FTA อาเซียน–เกาหลีใต้ และความตกลงเศรษฐกิจดิจิทัลอาเซียน (DEFA) หัวใจสำคัญคือ การทำให้ผู้ประกอบการเข้าใจและนำความตกลงไปใช้ได้จริง เช่น เชื่อมโยงห่วงโซ่การผลิตแบบไร้รอยต่อ ระบบศุลกากรที่รวดเร็วขึ้น การสนับสนุนสินค้าการเกษตรไทย การลดขั้นตอนสำหรับ MSMEs และการสร้างมาตรฐานร่วมด้านอุตสาหกรรมและเกษตร

สำหรับ FTA ไทย–ภูฏาน ซึ่งเป็น FTA ฉบับที่ 17 ของไทยนั้น มองว่าแม้ภูฏานเป็นประเทศขนาดเล็กแต่มีเสถียรภาพเศรษฐกิจสูง รายได้เติบโตต่อเนื่อง และมุ่งสู่ประเทศรายได้สูงภายในปี 2577 โดยภูฏานยังพึ่งพาการนำเข้าสินค้าจำนวนมาก และนิยมสินค้าไทยสูงกว่าสินค้าจากประเทศเพื่อนบ้าน FTA ฉบับนี้ครอบคลุมการเปิดเสรีการค้าสินค้ากว่าร้อยละ 90 พร้อมยกเลิกภาษีทันทีเมื่อมีผลบังคับใช้ คาดว่าจะเพิ่มโอกาสการส่งออก เพิ่มวัตถุดิบให้ผู้ผลิตไทย และเพิ่มตัวเลือกแก่ผู้บริโภค การสัมมนาในครั้งนี้จัดเป็นครั้งที่ 2 ต่อจากงานประชาพิจารณ์ที่กรุงเทพฯ เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา โดยมีวิทยากรจากทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคการศึกษา ร่วมถ่ายทอดสาระสำคัญของ ACFTA 3.0 และ FTA ไทย–ภูฏาน รวมถึงเปิดให้ผู้ประกอบการสะท้อนความคิดเห็นและเตรียมความพร้อมเพื่อใช้ประโยชน์สูงสุดจากความตกลงทั้งสองฉบับ ทั้งนี้หวังให้ ACFTA 3.0 และ FTA ไทย–ภูฏาน เป็นมากกว่ากระดาษหนึ่งฉบับ แต่เป็น “เครื่องมือขับเคลื่อนธุรกิจ” ที่ผู้ประกอบการสามารถนำไปใช้จริงเพื่อขยายตลาด ทั้งตลาดใหญ่ของจีนและตลาดใหม่อย่างภูฏาน โดยการใช้ประโยชน์จากความตกลงเหล่านี้จะช่วยวางรากฐานทางเศรษฐกิจไทยให้มีความยั่งยืนในระยะยาว

นางอุมาพร ฟูตระกูล รองอธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กล่าวอีกว่า ในยุคเศรษฐกิจปัจจุบัน การค้าโลกต้องเผชิญความเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว ทั้งเทคโนโลยี สิ่งแวดล้อม และความไม่แน่นอนจากภูมิรัฐศาสตร์ ทำให้ FTA ยุคใหม่ต้องครอบคลุมประเด็นการค้าที่หลากหลายขึ้น ไม่ได้จำกัดอยู่แค่สินค้า บริการ และการลงทุนด้วยเหตุนี้ ACFTA 3.0 จึงไม่ใช่เพียงการปรับปรุงเนื้อหาเดิมให้ทันสมัย แต่ยังเพิ่มความร่วมมือใหม่ที่สำคัญ เช่น เศรษฐกิจดิจิทัล เศรษฐกิจสีเขียว และการเชื่อมโยงห่วงโซ่อุปทาน ซึ่งสอดคล้องกับทิศทาง FTA ยุคใหม่ของโลก ACFTA 3.0 จะเป็นต้นแบบสำคัญสำหรับการยกระดับ FTA ในภูมิภาค เช่น อาเซียน–เกาหลีใต้ หรือความตกลงอาเซียนด้านเศรษฐกิจดิจิทัล (DEFA) ถือเป็นทั้งการยกระดับเนื้อหาและการวางมาตรฐานใหม่ของความร่วมมือทางเศรษฐกิจในเอเชีย หัวใจของ ACFTA 3.0 ไม่ได้อยู่เพียงข้อบท แต่คือการทำให้ทุกภาคส่วนเข้าใจและนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยเฉพาะการใช้เป็น “สารตั้งต้น” ในการขยายโอกาสทางธุรกิจของผู้ประกอบการไทย นายรัชวิชญ์ระบุว่า ความตกลงนี้จะช่วยพัฒนาห่วงโซ่การผลิตให้ไร้รอยต่อ ระบบพิธีการศุลกากรที่รวดเร็วและทันสมัย โดยเฉพาะสินค้าเกษตรไทย การสนับสนุน MSMEs ผ่านกฎที่ง่ายขึ้น การสร้างมาตรฐานร่วมด้านอุตสาหกรรมและเกษตร การใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมในระบบการค้า และการผลักดันความยั่งยืนเพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันในอนาคต

โดย ACFTA 3.0 เป็นมากกว่า “การปรับปรุงความตกลงทางการค้า” แต่คือ “การยกระดับความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์” ที่จะวางรากฐานเศรษฐกิจอาเซียน–จีนในทศวรรษหน้า พร้อมเป็นโอกาสสำคัญของไทยในการเชื่อมต่อห่วงโซ่มูลค่าภูมิภาค และสร้างความเข้มแข็งให้เศรษฐกิจฐานรากระดับจังหวัด โดยสัมมนาครั้งนี้จะเป็นอีกก้าวสำคัญในการเตรียมพร้อมประเทศไทยสู่การใช้ประโยชน์จาก ACFTA 3.0 อย่างเต็มศักยภาพ และนำพาเศรษฐกิจไทยสู่ความยั่งยืนในอนาคต


Leave a Response

เรื่องล่าสุด