อบจ.ขอนแก่น เดินหน้าโครงการ “อีวี บัส” จับมือ ม.ศิลปากรและ มทร.อีสาน  ศึกษา-ออกแบบ ตามระเบียบอย่างเข้มงวด “วัฒนา”ย้ำชัดเชื่อมต่อทุกการเดินทาง นำร่องเขต อ.เมือง

เมื่อเวลา 09.00 น.วันที่ 4 ต.ค.2568 ที่ อบจ.ขอนแก่น นายวัฒนา ช่างเหลา นายก อบจ.ขอนแก่น ประชุมร่วมกับ รศ. ดร.ธีระวัฒน์ จันทึก หัวหน้าโครงการวิจัยฯ ,ดร. ธงชัย ทองมา, ผศ. ดร. ปวีณา สปิลเลอร์ ,ผศ.มุจรินทร์ อิทธิพงษ์ และคณะนักวิจัย จากมหาวิทยาลัยศิลปากรและมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน วิทยาเขตขอนแก่น ตามนโยบายขับเคลื่อนจังหวัดขอนแก่นสู่การเป็นเมืองอัจฉริยะและยั่งยืน เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ (Feasibility Study) การให้บริการรถประจำทางแบบไฟฟ้า หรืออีวี บัสเส้นทางสัญจรในอำเภอเมืองขอนแก่น อย่างเป็นทางการ

นายวัฒนา ช่างเหลา นายก อบจ.ขอนแก่น กล่าวว่าโครงการอีวี บัส เป็นนโยบายและแนวทางการทำงานเชิงรุกที่มุ่งเน้นยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในการสร้างระบบขนส่งสาธารณะที่เข้มแข็งให้เป็นเส้นเลือดใหญ่ของเมือง

“วันนี้พฤติกรรมของประชาชนเปลี่ยนไป การใช้รถยนต์ส่วนตัวเพิ่มขึ้น ทำให้เกิดปัญหามลพิษและการจราจร ขณะที่ขนส่งสาธารณะดั้งเดิมกำลังเผชิญความท้าทาย อบจ.ขอนแก่น จึงต้องทำงานเชิงรุกเพื่อสร้างทางเลือกใหม่ให้ประชาชน ทั้งนี้โครงการอีวี บัสนี้ ไม่ใช่แค่การนำรถใหม่มาวิ่ง แต่คือการสร้างเครือข่ายการเดินทางที่สมบูรณ์ เชื่อมโยงกับระบบขนส่งเดิมให้เกื้อกูลกันสำหรับทุกคน ทั้งนักเรียน นักศึกษา คนทำงาน ผู้สูงอายุและผู้มาเยือน สามารถเดินทางได้อย่างสะดวก ปลอดภัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม”

นายวัฒนา กล่าวต่อว่า  โครงการดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อศึกษาเส้นทางเดินรถใหม่ ที่จะทำหน้าที่เป็นแกนหลักในการเชื่อมโยงการเดินทางในพื้นที่อำเภอเมืองขอนแก่น โดยไม่ทับซ้อนหรือส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการรายเดิม แต่จะช่วยส่งเสริมให้เกิดเป็นเครือข่าย ใยแมงมุม ที่ทำให้ประชาชนสามารถเปลี่ยนถ่ายการเดินทางได้อย่างราบรื่น กระตุ้นให้เกิดการใช้บริการรถสาธารณะลดการใช้รถยนต์ส่วนตัว ซึ่งเป็นแนวทางเดียวกับการพัฒนาเมืองใหญ่ทั้งในประเทศและต่างประเทศทั่วโลก

“โครงการอีวี บัส เป็น 1 ในนโยบาย 9 ดี ที่จะทำให้ชาวขอนแก่นมี ชีวิตดี สังคมดี เศรษฐกิจดี ชุมชนดีและสิ่งแวดล้อมดีโดยมั่นใจว่าในงบประมาณปี 2569 จะเกิดขึ้นเป็นรูปธรรม เพื่อมอบเป็นของขวัญให้กับชาวขอนแก่น สร้างเมืองที่น่าอยู่สำหรับทุกคนและพร้อมต้อนรับผู้มาเยือนด้วยระบบขนส่งสาธารณะที่ทันสมัยและยั่งยืนต่อไป”