“ ปะจัน ” โดย “เขี้ยวจัน ”
ปีที่ 3 : ตามที่ใจสั่งมา……..
ที่นี่….ไม่ใช่คอลัมน์ร้องทุกข์ แต่เป็น การสังคมอุดมปัญญา ลุกขึ้นมา “ทวงสิทธิ” ของการเป็นพลเมืองผู้ตื่นรู้ เจ้าของคะแนนเสียงที่เลือก”ตัวแทน” ในทุกระดับ ของการปกครองส่วนท้องถิ่น และการบริหารบ้านเมือง ด้วยข้าราชการ “ตัวแทน” จากส่วนกลาง ทุกกระทรวง ทบวง กรม [ หน้ารวมบทความ ปะจัน]
ห้วงเวลาของการวางแผนทางการเงินของประเทศ รัฐสภา ผ่านแบบฉลุย การเงินกับการบริหาร ต้องเดินไปด้วยกัน หากโหวตไม่ผ่าน เป็นอันต้อง “ยุบสภา” เหมือนกับการบริหารงานเอกชน หาก ซีอีโอ นำเสนอแผน และนำเสนอกับคณะกรรมการบริษัท แล้วไม่อนุมัติ เป็นอันพับ ไปต่อไม่ได้ ซีอีโอต้อง “ลาออก” แสดงว่า ไม่ได้รับความไว้วางใจในแผนงานดังกล่าว ประเทศชาติก็เช่นกัน
เป็นอันว่า งบประมาณปี 2569 ผ่านสภาฯ แล้ว ผู้บริหาร สามารถนำเงินไปบริหารประเทศได้ ตามแผนงานที่วางไว้ และมีกระบวนการตรวจสอบ สอบทาน นำพาประเทศ ไปในทิศทางที่ควรจะเป็น ท่ามกลางกระแสสงครามการค้าโลก ความแปรปรวนของภูมิรัฐศาสตร์ และโลกรวน
ฝีมือ ระดับ “ขั้นเทพ” เท่านั้น จึงจะช่วยประคับประคอง ทุกองค์กร ชิ้นส่วนสำคัญของประเทศ และ “ผู้นำ” ที่มองอนาคตของประเทศเป็นสำคัญ จึงจะฝ่าทุกวิกฤติไปได้
งบประมาณปี 2569 จำนวน 3.78 ล้านล้านบาท เริ่มลงมือ ตั้งแต่ 01 ตุลาคม 2568 นี้ เป็นต้นไป พบว่า เกือบทุกหน่วยงาน ได้รับการจัดสรร เพิ่มมากขึ้น
5 อันดับแรก ที่ได้รับการจัดสรร งบประมาณปี 2569 มากสุด ได้แก่ งบกลาง-งบนี้ อยู่ในอำนาจของนายกรัฐมนตรี 632,968 ล้านบาท, กระทรวงการคลัง 397,856 ล้านบาท,
กระทรวงศึกษาธิการ 355,108 ล้านบาท, กระทรวงมหาดไทย 301,265 ล้านบาท และ กระทรวงกลาโหม 204,343 ล้านบาท
ชวนมอง ที่สถาบันการศึกษา ระดับอุดมศึกษา ว่ามีการบริหารเงิน จากเดิมอยู่ในกำกับดูแลของรัฐบาล มาเป็น “การออกนอกระบบ” ซึ่งต้องบริหารจัดการตัวเอง คนทำงานเรียกว่า “เจ้าหน้าที่รัฐ” ไม่ได้เรียกว่า “ข้าราชการ” อีกต่อไป
เงินเพื่อการศึกษา หาความรู้ให้ตัวเอง เรียกกันว่า “ค่าเทอม” หลังการบริหารจัดการแล้ว จะกลายเป็นเงินกองทุนที่ผู้บริหารต้องมีวิสัยทัศน์ในการบริหาร ให้งอกเงย และยังอยู่ครบถ้วน ในหลายช่องทางของการลงทุน เงินก้อนใหญ่ จะฝากแบงค์วางไว้เฉยๆ ก็ดูว่าจะเสียโอกาส จะลงทุนก็อาจมีความเสี่ยง ซึ่งบางแห่งอาจต้องใช้มืออาชีพเข้ามาช่วยดูแล บริหารจัดการ
“ผลตอบแทน และความเสี่ยง” เป็นคู่แฝดที่ต้องมาด้วยกัน จึงเป็นเป็นความท้าทาย ของการแสวงหาจุดสมดุล เราจึงพบเฉพาะตัวเลขก้อนเงินลงทุน ยังไม่พบผลตอบแทนในการลงทุน การสำรวจจากการเข้าไปถือหุ้น ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ที่มีชื่อในนามนิติบุคคลของ 5 มหาวิทยาลัย ที่ติดอันดับเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ (หมายถึง ถือหุ้น 0.50% ขึ้นไป) รวมกันเป็นเงิน กว่า 1,771 ล้านบาท ได้แก่
1) มหาวิทยาลัยมหิดล ลงทุน 1,388 ล้านบาท 2) มหาวิทยาลัยศรีปทุม 273 ล้านบาท 3) มหาวิทยาลัยมหิดล (คณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล) 49 ล้านบาท 4) มหาวิทยาลัยขอนแก่น 34 ล้านบาท 5) มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ 27 ล้านบาท
พบว่า ส่วนใหญ่ เป็นการลงทุน ในกองทุน ที่มีบริษัทจัดการกองทุนเป็นผู้บริหาร (ไม่ได้ลงทุนซื้อหุ้นเองโดยตรง) ซึ่งเป็นกองทุนที่มีการจ่ายเงินปันผล ในระดับที่สูงกว่าเงินฝากแบงค์
ความหลากมิติ คือ การเกี่ยวโยงกัน คือ ระบบเศรษฐศาสตร์มหภาค ของประเทศที่เชื่อมโยงกัน การเรียงร้อยข้อมูล ให้เข้าใจในมิติต่างๆ จึงเป็นการเติมความรู้ ระหว่างกัน อาทิ หากการบริหารพอร์ต เติบโต ย่อมมีเงินกลับเข้ามาพัฒนาการศึกษาได้อีก แต่ในทางกลับกัน หากพอร์ตแตก ขาดทุน เงินย่อมน้อยลง ที่จะนำมาพัฒนาการศึกษา
หุ้นขึ้น-หุ้นตก จึงไม่ใช่เรื่องไกลตัว เพราะ ทุกอย่างเชื่อมร้อยเป็นลมหายใจเดียวกัน

Leave a Response