รศ.ดร.พรอัมรินทร์ พรหมเกิด อาจารย์จากคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ได้แสดงความเห็นเกี่ยวกับการเลือกตั้งเทศบาลเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2568 ที่ผ่านมา โดยชี้ให้เห็นถึงปัญหาการซื้อสิทธิ์-ขายเสียงที่ยังคงแพร่หลายทั่วประเทศ สะท้อนให้เห็นถึงความล้าหลังและความบกพร่องของประชาธิปไตยไทย
รศ.ดร.พรอัมรินทร์เปิดเผยว่า การเลือกตั้งเทศบาลฯเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2568 ที่ผ่านมา เป็นที่รับรู้กันว่ามีการซื้อสิทธิ์ – ขายเสียงเสียงกันอย่างมากทั่วประเทศ และเราปฏิเสธไม่ได้ว่า “การซื้อสิทธิ์ – ขายเสียง” เป็นปัจจัยสำคัญมากประการหนึ่งที่มีความสำคัญในการเอาชนะกันทางการเมือง แต่เป็นที่น่าสังเกตว่าในการเลือกตั้งเทศบาลฯครั้งนี้ ไม่ค่อยมีใครกล้าพูดถึงประเด็นปัญหานี้อย่างตรงไปตรงมามากนัก ที่เป็นเช่นนี้เพราะสังคมไทยเป็น “สังคมปากว่าตาขยิบ” และชอบซุกขยะไว้ใต้พรม ทำให้ปัญหาสำคัญของประเทศชาติหลายอย่างจึงไม่ได้รับการแก้ไข และปัญหาการซื้อสิทธิ – ขายเสียงสะท้อนให้เห็นถึงความล้าหลังและความบกพร่องของประชาธิปไตยไทย รวมทั้งยังสะท้อนให้เห็นถึงความไม่เอาใจใส่ของสังคม ของรัฐบาล ของนักการเมือง หน่วยงานของรัฐทั้งหลาย และสถาบันการศึกษาทุกระดับ ที่ควรมีความสำนึกรับผิดชอบร่วมกันในการแก้ไขปัญหาพื้นฐานของประเทศชาติที่มีมาอย่างยาวนานเช่นนี้
ความจริงแล้วปัญหาเรื่องการซื้อสิทธิ์ – ขายเสียงเป็นเรื่อง “ความไม่ปกติ” ในสังคมประชาธิปไตย แต่ในสังคมไทยนักการเมืองและผู้คนส่วนใหญ่กลับมองเป็นเรื่องปกติธรรมดา จนกลายเป็นวัฒนธรรมทางการเมืองล้าหลังของไทยที่แก้ไขได้ยาก แต่ถ้าเรายังเห็นว่าเรื่องการซื้อสิทธิ – ขายเสียงเป็นเรื่องปกติธรรมดา และถ้ายังปล่อยให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นอีก เราสามารถคาดการณ์ได้ว่าในการเลือกตั้งครั้งหน้าและครั้งต่อ ๆไป จะมีการใช้เงินซื้อเสียงชาวบ้านอย่างมโหฬารและเป็นไปอย่างเปิดเผยโจ่งแจ้งมากขึ้นเรื่อย ๆ ขณะที่มีประเทศจำนวนมากในโลกนี้ได้ก้าวข้ามพ้นจากปัญหาประเภทนี้ไปนานหลายศตวรรษแล้ว
ที่ผมเห็นว่าการซื้อเสียงเป็นเรื่อง “ไม่ปกติ” ที่เกิดขึ้นในสังคมประชาธิปไตย แต่ในสังคมไทยถือว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดา แต่ทั้งความไม่ปกติธรรมดา ความล้าหลัง และความบกพร่องของประชาธิปไตยไทยนี้ นับเป็นภัยร้ายแรงและสร้างผลเสียหายต่อสังคมและประเทศชาติเป็นอย่างมากเนื่องจาก
- การซื้อเสียงจะนำไปสู่การถอนทุนคืนหรือการทุจริตคอร์รัปชันในทุกโครงการของรัฐ ทั้งในโครงการระดับชาติ ระดับท้องถิ่น ผลตามมาคือทำให้สังคมและประเทศชาติผุกร่อนเสื่อมทรามลง
- ทำให้ดัชนีชี้วัดประชาธิปไตยไทยซึ่งต่ำอยู่แล้วในสายตาชาวโลกจะยิ่งตกต่ำลงไปอีก อันมีผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติในการตัดสินใจที่จะเข้ามาลงทุนในไทย เนื่องจากนักลงทุนต่างชาติมองว่า ไทยเป็นประเทศที่มีระบอบการเมืองไม่สะอาดและไม่สุจริตพอ
- ต่อไปสังคมไทยจะไม่ได้ตัวแทนที่ดี หรือคนมีอุดมการณ์ประชาธิปไตยเข้ามาทำหน้าที่แทนเรา หรือเป็นตัวแทนที่ต้องการเข้ามาต่อสู้เพื่อรักษาผลประโยชน์ของสาธารณะ หรือผลประโยชน์ของส่วนรวมเป็นหลัก แต่จะได้ตัวแทนและนักการเมืองที่เข้ามาแสวงหาผลประโยชน์ทางการเมือง และในท้ายที่สุดการเมืองจะเป็นกิจกรรมเฉพาะของพวกนายทุนนักธุรกิจ และเศรษฐีมีเงินดังที่เป็นอยู่ และถ้าเรายังปล่อยให้ปรากฏการณ์เช่นนี้ดำรงต่อไปอีก ต่อไปกิจกรรมทางการเมืองหรือเรื่องราวทางการเมืองจะถูกผนวกเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราวทางเศรษฐกิจและแผนการทางธุรกิจ ผลตามมาคือต่อไปการต่อสู้เพื่ออุดมการณ์อันสูงส่งของมนุษย์, คุณธรรมและจริยธรรมเพื่อส่วนรวม, จิตสำนึกเพื่อส่วนรวม, อุดมการณ์เพื่อสังคม, หรือการต่อสู้เรียกร้องเพื่อประชาธิปไตยและเพื่อประโยชน์ของคนส่วนใหญ่ ฯลฯ แนวความคิดเช่นนี้จะจืดจางหายไป เหลือเพียงแค่การเมืองซึ่งเป็นเรื่องการแสวงหาอำนาจเพื่อผลประโยชน์ตนเองและพวกพ้อง และกลุ่ม “มนุษย์สีเทา” จะเข้าสู่การเมืองโดยใช้เงินเป็นเครื่องมือเข้าสู่อำนาจทางการเมืองมากขึ้น นับเป็นเรื่องที่น่าหดหู่ใจเป็นอย่างยิ่ง
จากประสบการณ์หลายสิบปีทีผ่านมาผมพบว่า เราไม่อาจฝากความหวังไว้กับรัฐบาล นักการเมือง และหน่วยงานรัฐทั้งหลาย เนื่องจากคนไทยถูกฉีดยาชาจากกลุ่มผู้มีอำนาจในสังคมเหล่านี้ ไม่ให้สนใจเรื่องการเมืองมายาวนาน จนกลายเป็น “วัฒนธรรมทางการเมืองที่เฉยชา” ต่อการเมืองและเรื่องส่วนรวม เมื่อประชาชชนไม่มีความรู้เรื่องการเมืองและประชาธิปไตย ทำให้ขาดความเชื่อมั่นใน “พลังหรือสมรรถนะทางการเมืองของตนเอง” (political efficacy) ในท้ายที่สุดก็ตกเป็นเครื่องมือทางการเมืองของผู้มีอำนาจหรือนักการเมือง รวมทั้งตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของระบบอุปถัมภ์ และเมื่อมีการเลือกตั้งก็ถูกซื้อเสียงได้ง่าย
ผมขอเรียกร้องให้สถาบันการศึกษาโดยเฉพาะมหาวิทยาลัยทุกแห่ง ต้องเอาจริงเอาจังกับการช่วยแก้ไขปัญหาของประเทศชาติเช่นนี้ ผมเห็นด้วยกับการมุ่งหน้าพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี แต่มหาวิทยาลัยก็ควรมีการสร้าง “ความสมดุล” ด้วยการหันมามองปัญหาทางสังคมการเมืองด้วย โดยเฉพาะปัญหาเรื่องการซื้อสิทธิ – ขายเสียงที่เป็นปัญหาพื้นฐานสำคัญและเซาะกร่อนกัดกินประเทศชาติมานาน
มหาวิทยาลัยและภาคประชาสังคมหรือภาคพลเมืองที่ตื่นตัว ควรมีบทบาทในการปลุกจิตสำนึกให้ประชาชนรู้สึกว่า ในฐานะมนุษย์คนหนึ่งแม้ว่าตัวเขาจะยากจนหรือเป็นคนธรรมดา แต่เขาก็มีเกียรติมีศักดิ์ศรีเหมือนมนุษย์คนอื่น ความเป็นมนุษย์ไม่ควรที่จะถูกซื้อด้วยเศษเงินของนักการเมือง แล้วเป็นสาเหตุทำให้นักการเมืองทุจริตคอร์รัปชันในโครงการต่าง ๆของรัฐที่มีผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของพวกเขา และเรายังได้นักการเมืองสีเทาเข้ามาบริหารประเทศเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย

Leave a Response