เลือดขาดแคลน วันละกว่า 3,000 ยูนิต
บริจาคเลือดกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดใหม่
สุขภาพดีขึ้น-เสี่ยงมะเร็งลด
จิตใจแจ่มใส ลดภาวะซึมเศร้า
คุณสมบัติผู้บริจาค ต้องเข้าเกณฑ์ครบถ้วน
แม้หลายคนจะรู้ว่าการ “บริจาคเลือด” คือการช่วยชีวิตผู้อื่นที่ต้องการเลือดรักษา แต่ยังมีข้อเท็จจริงอีกมากมายเกี่ยวกับการบริจาคเลือดที่น้อยคนนักจะทราบ ซึ่งนอกจากความสุขใจแล้ว การบริจาคเลือดยังส่งผลดีต่อสุขภาพกายและใจของผู้บริจาคเองอีกด้วย
ประเทศไทยมีความต้องการใช้เลือดมากถึงวันละ 5,000 ยูนิต แต่กลับมีผู้บริจาคจริงเพียงประมาณ 2,000 ยูนิตต่อวัน โดยกลุ่มผู้บริจาคเลือดปัจจุบันมีเพียง 3% ของประชากรทั้งหมด ซึ่งถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับความต้องการใช้เลือดในชีวิตจริง โดยเฉพาะผู้ป่วยที่ต้องเข้ารับการผ่าตัดใหญ่หรือประสบอุบัติเหตุ ซึ่งเกิดขึ้นบ่อยในประเทศไทย
เลือดที่ได้รับจากการบริจาค 1 ครั้งนั้นสามารถแยกเป็นหลายส่วน ได้แก่ เกล็ดเลือด พลาสมา และเม็ดเลือดแดง เพื่อนำไปใช้ในทางการแพทย์ได้หลากหลายรูปแบบ ไม่เพียงแค่ในการผ่าตัดเท่านั้น นอกจากนี้ การบริจาคเลือดยังช่วยกระตุ้นการทำงานของไขกระดูกให้สร้างเม็ดโลหิตใหม่ ๆ ที่มีคุณภาพ ทำให้ร่างกายมีการหมุนเวียนโลหิตใหม่ที่ดีขึ้น ส่งผลต่อสุขภาพโดยรวม เช่น ผิวพรรณเปล่งปลั่ง สดใสขึ้น
การบริจาคเลือดอย่างสม่ำเสมอยังเป็นแรงจูงใจให้ผู้บริจาคหันมาใส่ใจดูแลสุขภาพตนเองมากขึ้น ทั้งเรื่องอาหาร การออกกำลังกาย และการพักผ่อนให้เพียงพอ โดยงานวิจัยบางชิ้นยังชี้ว่า คนที่บริจาคเลือดเป็นประจำมีโอกาสเสี่ยงต่อโรคร้ายอย่างมะเร็งน้อยลง เมื่อสุขภาพกายดี สุขภาพจิตก็จะดีตามไปด้วย ซึ่งมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคซึมเศร้าอีกด้วย
ผู้บริจาคเลือดสามารถบริจาคได้ปีละ 4 ครั้ง หรือรวมแล้วตลอดชีวิตอาจบริจาคได้สูงสุดถึง 212 ครั้ง หากร่างกายแข็งแรงเพียงพอ โดยกลุ่มเลือดที่ต้องการมากที่สุดคือกรุ๊ป AB ซึ่งเป็นกรุ๊ปที่พบได้น้อยที่สุด ตามมาด้วยกรุ๊ป A, B และ O ในขณะเดียวกัน กลุ่มเลือด Rh- หรือเลือดลบ ซึ่งพบได้น้อยในคนไทย ก็ถือว่าเป็นกรุ๊ปเลือดที่มีความสำคัญสูง และต้องการผู้บริจาคมากกว่ากรุ๊ปอื่น ๆ
คุณสมบัติของผู้ที่สามารถบริจาคเลือดได้ ได้แก่
- อายุระหว่าง 17-70 ปี
- น้ำหนักเกิน 45 กิโลกรัม
- พักผ่อนเพียงพอ (ไม่น้อยกว่า 6 ชั่วโมง)
- ไม่มีอาการเจ็บป่วยภายใน 7 วัน
- หยุดใช้ยาทุกชนิดมาแล้วอย่างน้อย 7 วัน
- ไม่มีโรคประจำตัวหรือโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน ความดัน หัวใจ ไต ตับ หรือภูมิแพ้รุนแรง
- หลีกเลี่ยงการทานอาหารไขมันสูง งดแอลกอฮอล์และบุหรี่ก่อนบริจาคอย่างน้อย 24 ชั่วโมง
- สตรีมีประจำเดือนสามารถบริจาคได้ หากไม่มีอาการอ่อนเพลีย
หากมีประวัติผ่าตัด เจาะหู สัก หรือฝังเข็ม ต้องเว้นระยะตามเกณฑ์ เช่น ผ่าตัดใหญ่เว้น 6 เดือน สักหรือฝังเข็มเว้น 1 ปี และหากเคยรับเลือดผู้อื่น ต้องเว้นอย่างน้อย 1 ปีด้วย
สำหรับผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศ หรือคู่ครองมีพฤติกรรมเสี่ยง แนะนำให้งดการบริจาคเลือดเพื่อความปลอดภัยของผู้รับเลือด
การบริจาคเลือดจึงเป็นกิจกรรมที่ไม่เพียงแต่ช่วยต่อชีวิตผู้อื่น แต่ยังช่วยให้ผู้บริจาคมีสุขภาพดีขึ้น ทั้งทางร่างกายและจิตใจ ใครที่ยังไม่เคยลอง เริ่มวันนี้ก็ยังไม่สาย
#บริจาคเลือด
#ช่วยชีวิตด้วยเลือดคุณ
#สุขภาพดีจากการให้
#เลือดขาดแคลน
#บริจาคเลือดRhลบ
ทีมข่าวขอนแก่นลิงก์

Leave a Response