🫐 ฮาร์วาร์ดจัดอันดับ “ผลไม้ยืดอายุ” บลูเบอร์รีครองแชมป์ สรรพคุณครบครันเกินคาด

OIG4.ZxhIyPRcyWX

 

📊 4 ผลไม้ยืดชีวิตจากการศึกษาของฮาร์วาร์ด
🛡️ บลูเบอร์รีขึ้นแท่นอันดับ 1 ต้านมะเร็ง-ชะลอวัย
🧠 เสริมการทำงานสมอง ลดเสี่ยงอัลไซเมอร์
❤️ ลดความดัน-ป้องกันโรคหัวใจอย่างมีประสิทธิภาพ
🥗 แคลต่ำ ไฟเบอร์สูง ช่วยควบคุมน้ำหนัก

#ผลไม้ยืดอายุขัย
#บลูเบอร์รี
#สุขภาพดีเริ่มที่กิน
#เทรนด์สุขภาพ2025
#ฮาร์วาร์ดเผยผลวิจัย

มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด สหรัฐอเมริกา เผยผลการจัดอันดับผลไม้ 4 ชนิดที่มีคุณสมบัติเสริมสร้างสุขภาพและยืดอายุขัย โดยระบุว่าผลไม้ที่คว้าอันดับ 1 คือ “บลูเบอร์รี” ซึ่งอุดมด้วยสารอาหารสำคัญที่มีบทบาทในการป้องกันโรคต่าง ๆ รวมถึงโรคมะเร็ง โรคหัวใจ และภาวะความเสื่อมของสมอง โดยผลไม้ที่ติดอันดับถัดมาคือ ทับทิม องุ่น และกล้วย ซึ่งล้วนเป็นผลไม้ที่คนไทยรู้จักกันดี

จากผลการศึกษาระบุว่า บลูเบอร์รี ซึ่งมีถิ่นกำเนิดในทวีปอเมริกาเหนือ เป็นผลไม้ที่มีความหนาแน่นของสารอาหารสูง และเต็มไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ โดยเฉพาะแอนโทไซยานิน วิตามินซี ไฟเบอร์ และแร่ธาตุต่าง ๆ ที่มีผลต่อการป้องกันโรคและฟื้นฟูสุขภาพในระยะยาว

การวิจัยจากมหาวิทยาลัยเมน ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อปี 2016 พบว่าการบริโภคผลไม้ตระกูลเบอร์รีเป็นประจำ เช่น บลูเบอร์รีและราสป์เบอร์รี มีผลในการต่อต้านมะเร็งเต้านม ตับ ต่อมลูกหมาก ตับอ่อน และปอด โดยสารสำคัญอย่างแอนโทไซยานินและฟลาโวนอยด์มีคุณสมบัติลดการอักเสบ ช่วยปกป้องเซลล์ และยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง

นอกจากนี้ บลูเบอร์รียังมีคุณสมบัติเสริมสร้างสุขภาพในหลายด้าน ทั้งการต้านความชรา เนื่องจากสารต้านอนุมูลอิสระในผลไม้ชนิดนี้สามารถฟื้นฟูความเสียหายของเซลล์ และป้องกันโรคร้ายที่เกิดจากการอักเสบเรื้อรัง เช่น เบาหวาน โรคหัวใจ และมะเร็ง

ในด้านของสมอง บลูเบอร์รีมีสารฟีนอลและกรดแกลลิก ซึ่งมีบทบาทในการบำรุงและปกป้องสมองจากความเสื่อมถอย งานวิจัยหลายชิ้นยืนยันว่า บลูเบอร์รีช่วยชะลอการเสื่อมของสมอง เสริมความจำ และลดผลกระทบจากความเครียดของอนุมูลอิสระที่ส่งผลต่อระบบประสาท

สำหรับผู้ที่อยู่ในช่วงลดน้ำหนัก บลูเบอร์รีถือเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมอย่างยิ่ง เนื่องจากมีแคลอรีต่ำ ดัชนีน้ำตาลต่ำ และมีใยอาหารสูง อีกทั้งสารแอนโทไซยานินในผลไม้ชนิดนี้ยังช่วยลดการดูดซึมไขมัน เพิ่มการเผาผลาญพลังงาน และลดความอยากอาหาร

ผลการศึกษายังระบุว่า การบริโภคบลูเบอร์รี 50 กรัมต่อวัน เป็นระยะเวลา 8 สัปดาห์ มีผลช่วยลดความดันโลหิตลงได้ถึง 4-6% โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ที่มีน้ำหนักเกินหรืออยู่ในวัยหมดประจำเดือน

ท้ายที่สุด บลูเบอร์รียังมีส่วนช่วยลดคอเลสเตอรอลชนิดร้าย (LDL) เพิ่มคอเลสเตอรอลชนิดดี (HDL) และลดโอกาสเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ ซึ่งสอดคล้องกับคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญที่ยืนยันว่าผลไม้ชนิดนี้สามารถป้องกันความเสียหายจากคอเลสเตอรอลและความดันโลหิตสูงได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ผลลัพธ์จากงานวิจัยของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดยังช่วยกระตุ้นให้คนหันมาใส่ใจเรื่องการบริโภคผลไม้และอาหารที่ส่งเสริมสุขภาพมากยิ่งขึ้น พร้อมสร้างกระแสในแวดวงโภชนาการทั่วโลกในช่วงเวลานี้

ทีมข่าวขอนแก่นลิงก์

Leave a Response

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง