ผู้การฯขอนแก่น ยืนยัน คดี เด็กหญิง 13 ปี คืบหน้าไปมาก แต่เปิดเผยไม่ได้ ส่วนเด็กหญิงอาการดีขึ้น ขณะที่ผู้โดยสารคนสุดท้าย เผยเด็กหญิงวัย 13 ปี ถึงบ้านพ่อออกมารับหน้าบ้าน ยืนยันว่าคนขับรถตู้ไม่ได้ทำอะไรเด็กหญิง
จากกรณีที่ย่าเด็กหญิง 13 ปี เข้าแจ้งความร้องทุกข์ว่าหลานสาว ถูกคนขับรถตู้ ข่มขืน จนเสียสติและเชื่อว่าถูกมอมยา เพราะหลานสาวมีอาการไม่ปกติ ซึ่งหลังจากแจ้งความตำรวจส่งเด็กหญิงเข้าตรวจร่างกายที่รพ.แวงน้อย จากการตรวจในเบื้องต้นของแพทย์พบว่า เด็กหญิง 13 ปี ถูกล่วงละเมิดทางเพศ และพรหมจรรย์ฉีกขาด แต่เป็นร่องรอยที่นานมาแล้ว ในส่วนของอาการเสียสตินั้น รพ.แวงน้อย ส่งตัวน้องไปรักษาตัวต่อที่รพ.ขอนแก่น ซึ่งแพทย์ได้ทำการตรวจร่างกาย เพื่อหาสาเหตุที่เด็กหญิงวัย 13 ปี เกิดอาการผิดปกติ แต่ยังไม่ทราบผล ต้องรอผลตรวจประมาณ 2 สัปดาห์ จากนั้น รพ.ขอนแก่น ยังต้องส่งตัวเด็กหญิงรายดังกล่าว ไปรักษากับแพทย์เฉพาะทางที่รพ.ศรีนครินทร์ ในวันศุกร์ที่จะถึงนี้
ในขณะที่การสืบสวนสอบสวนของทางตำรวจนั้น ยืนยันว่า ยังไม่สามารถเอาผิดกับคนขับรถตู้ได้ และยังไม่มีการควบคุมตัว ทำได้เพียงส่งรถตู้ป้ายเหลืองคันที่พยานยืนยันว่า เป็นคันที่นำส่งเด็กหญิงรายดังกล่าว พร้อมผู้โดยสารรวม 12 คนในวันที่ 1 ตุลาคม 2566 ส่งให้ศพฐ.4 ขอนแก่น ตรวจหาหลักฐานภายในรถ และตรวจความผิดปกตินอกตัวรถ ซึ่งขณะนี้ผลตรวจในรถพบเพียงสารเหลวสีแดงที่เบาะรถ แต่ไม่สรุปว่าเป็นสารอะไร โดยตำรวจสภ.แวงน้อย ยังยืนยันว่า คนขับรถมีรถตู้ในครอบครอง 2 คัน แต่ส่งตรวจได้ 1 คัน ตามคำยืนยันของพยานนั้น
ความคืบหน้าล่าสุด เมื่อเวลา 13.30 น.วันที่ 9 พฤศจิกายน 2566 ผู้สื่อข่าวได้โทรศัพท์พูดคุยกับบิดาของเด็กหญิงวัย 13 ปี ซึ่งนายเอ(นามสมมุติ)อายุ 43 กล่าวว่า ทราบเรื่องที่แพทย์ รพ.ขอนแก่น จะส่งตัวลูกสาวไปรักษาต่อกับแพทย์เฉพาะทางที่รพ.ศรีนครินทร์ ก็เป็นเรื่องดี เพราะการรักษาขณะนี้ที่รพ.ขอนแก่นนั้น แม้จะไม่ใช้แพทย์เฉพาะทาง แต่ลูกสาวก็ดีขึ้นมากเพราะพูดคุยกับ พ่อ แม่ได้ ตามปกติ แต่ยังไม่กล้าถาม ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ในส่วนของลูกชายก็อาการดีขึ้นเช่นกัน
ซึ่งจากการสอบถามย่า ทราบว่า ลูกชายเปิดเทอมก็ไปเรียนหนังสือตามปกติ พอกลับมาบ้าน จึงเกิดอาการเสียสติ จึงส่งลูกชายไปยัง รพ.แวงน้อย แพทย์ตรวจในเบื้องต้นพบสารแอมเฟตามีน และลูกชายอาการไม่ดีขึ้น จึงส่งตัวมารักษาที่รพ.ขอนแก่น ขณะนี้ อาการลูกชายดีขึ้นมากแล้ว
“การที่แพทย์พบสารแอมเฟตามีน ทำไมตำรวจจะไม่รู้ และตำรวจจะไม่สืบสวนหรืออย่างไร ว่าสารดังกล่าวนั้นลูกชายรับสารมาจากไหน ทำไมปล่อยผ่าน เพราะในทางกฎหมายตำรวจต้องสืบสวนหาที่มา เพราะสานตัวนี้เป็นอันตรายต่อสุขภาพของเด็กมาก จึงอยากให้ตำรวจสืบสวนหาที่มาของสารดังกล่าวด้วย เพราะลูกชายไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด จึงอยากรู้ว่า ลูกชายรับสารแอมเฟตามีนได้อย่างไร”
บิดา กล่าวต่ออีกว่า การนำตัวลูกชายส่งรพ.นั้น เพราะเกิดอาการเสียสติ พูดจาไม่รู้เรื่อง ย่าและญาติพี่น้องจึงส่งตัวไปรพ.แวงน้อย และรพ.แวงน้อย ส่งต่อไปรักษาที่รพ.ขอนแก่น ซึ่งกรณีของลูกชายนั้น เกิดอาการไล่เลี่ยกัน แต่ไม่มีการแจ้งความที่ สภ.แวงน้อย แต่มีการส่งรักษาในรพ.และส่งต่อตามขั้นตอน ขณะนี้ลูกชายพักรักษาตัวที่รพ.ขอนแก่น
ในขณะเดียวกันผู้สื่อข่าว ได้รับการเปิดเผยจาก พล.ต.ต. อนุวัตร สุวรรณภูมิ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดขอนแก่น ถึงการสืบสวนสอบสวนคดีข่มขืน เด็กหญิง 13 ปี ที่ญาติแจ้งความร้องทุกข์ว่าถูกคนขับรถตู้ข่มขืน ขณะนั่งรถตู้ไปหาพ่อที่กรุงเทพฯเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2566 ที่ผ่านมาว่า การทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ คืบหน้าไปมาก แต่เป็นข้อมูลที่เกี่ยวข้องในคดี จึงไม่สามารถเปิดเผยได้
ในขณะเดียวกันการสอบปากคำ ผู้โดยสารที่นั่งไปในรถพร้อมเด็กหญิงวัย 13 ปีนั้น สอบปากคำครบแล้ว ก็ยืนยันว่า นั่งรถตู้ป้ายเหลืองของน้าเดชไปกรุงเทพฯจริง และทุกคนก็ยืนยันว่า ไม่พบความผิดปกติใดๆ จึงขอยืนยันว่าตำรวจจะทำงานให้รอบคอบและชัดเจน คลายข้อข้องใจของญาติพี่น้องเด็กหญิง 13 ปี และจะให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ว่ากันด้วยหลักฐาน ในส่วนของเด็กหญิง 13 ปีนั้น จากการรายงานของแพทย์ทราบว่าอาการดีขึ้น ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจจะได้เข้าไปพบและพูดคุย หากสอบสวนได้ ก็จะทำการสอบสวน
ผู้สื่อข่าวได้โทรศัพท์พูดคุยกับผู้โดยสารหญิง ที่นั่งไปในรถตู้คันเดียวกับเด็กหญิงวัย 13 ปี ในวันที่ 1 ตุลาคม 2566 ที่ผ่านมา ซึ่งผู้โดยสารรายดังกล่าวคือ นางจันทร์(นามสมมุติ) อายุ 50 ปี ชาวอ.แวงน้อย จ.ขอนแก่น (ไม่ขอเปิดเผยชื่อ สกุลและที่อยู่) ระหว่างเดินทางนั้นมีผู้โดยสารเต็มทุกที่นั่ง ตนหลับตลอดทางจนใกล้ถึงที่หมายก็ได้รู้สึกตัวและขณะนั่งในรถก็เห็นเด็กหญิงวัย 13 ปี นั่งเล่นโทรศัพท์ตามปกติโดยไม่ได้มีอาการแปลกแต่อย่างใด ซึ่งหลังจากส่งตนเองลงที่ซอยสามเสน 6 แล้วก็ได้ส่งเด็กหญิงต่อซึ่งห่างจากจุดที่ตนเองลงประมาณ 7.1 กิโล ใช้เวลาเดินทางประมาณ 20 นาที ซึ่งหลังจากลงรถตนเองก็ไม่รู้อะไรหลังจากนั้น
ในขณะเดียวกัน ก็ได้โทรศัพท์ มอบถามผู้โดยสารอีกคน ซึ่งลงรถเป็นคนสุดท้าย ยืนยันว่า ลงรถที่บริเวณพุฒมณฑลสาย 2 โดยรถตู้ส่งผู้โดยสารคนแรกไปแล้ว คนขับรถตู้ก็ได้ขับมาส่งเด็กหญิงวัย 13 ปี ที่หน้าบ้าน โดยถึงหน้าบ้านประมาณ 9.30 น. ซึ่งที่หน้าบ้านของเด็กนั้นมีพ่อออกมารอรับถึงหน้าบ้าน หลังจากลงรถไปเด็กหญิงและพ่อก็ได้ทักทายกันตามประสาพ่อลูก โดยคนพ่อก็ได้ถามลูกว่าบนรถมีกระเป๋าอะไรอีกมั้ย จากนั้นก็ไม่รู้ว่าคุยอะไรกันอีก ซึ่งตนเองยืนยันว่ารถตู้ไม่ได้ถึงที่หมายในการส่งเด็ก ช่วงก่อนเที่ยง และผู้โดยสาร ยังยืนยันว่า ระหว่างทางมีการซ่อมถนนจริง โดยเส้นทางที่คนขับรถขับนั้นก็เป็นเส้นทางปกติ และเด็กไม่ได้เป็นคนลงรถเป็นคนสุดท้าย ซึ่งไม่ตรงกับการให้สัมภาษณ์ของย่าเด็กหญิงที่บอกว่ามาถึงบ้านช่วงก่อนเที่ยงของวันที่ 2 ตุลาคม 2566
Leave a Response