ยังไม่คืบหน้า ชาวบ้านในพื้นที่บ้านหนองม่วง หมู่ 2 ต.ทางขวาง อ.แวงน้อย จ.ขอนแก่น วอนตำรวจเร่งล่าโจรลักทองคำรูปพรรณของชาวบ้าน ซึ่งก่อเหตุมาอย่างต่อเนื่องกว่า 10 หลังคาเรือน ได้ทองคำรูปพรรณไปกว่า 40 บาทแล้ว และล่าสุดชาวบ้านต้องเอาทองไปฝากร้านเสียดอกเบี้ยป้องกัน ไม่วายเปลี่ยนมารื้อขโมยเอาเงินสดด้วย ถามความคืบหน้าไปที่ตำรวจแต่ตำรวจถามกลับว่า มันกลับมาอีกยัง จับคนร้ายได้หรือยัง ยิ่งทำให้งงไปใหญ่ มันเป็นใครรู้ตัวแล้วทำไมไม่จับ ถ้าชาวบ้านจับโจรได้ตำรวจควรลาออก
เมื่อเวลา 15.30 น. วันที่ 10 ธ.ค.2565 ที่บ้านหนองม่วง หมู่ 2 ต.ทางขวาง อ.แวงน้อย จ.ขอนแก่น ชาวบ้านในพื้นที่เกือบ 20 คน ซึ่งมีบ้านอยู่ในหมู่บ้านแห่งนี้มารวมตัวกันที่บ้านเลขที่ 111 หมู่ 2 เป็นบ้านของนางบุญจิตร โพธิ์ศรีขาม อายุ 63 ปี ซึ่งเป็นผู้เสียหายรายล่าสุด ที่ถูกคนร้ายแอบเข้ามาภายในบ้านแล้วค้นหาทรัพย์สินภายในบ้านได้เงินสดไปกว่า 10,000 บาท และคนร้ายยังลอยนวลจนชาวบ้านในพื้นที่ต่างผวา กินไม่ได้นอนไม่หลับ แจ้งความไปแล้วแต่ตำรวจก็ยังไม่สามารถจับกุมตัวคนร้ายที่มาก่อเหตุได้
โดยพฤติการณ์ของคนร้ายนั้น ก่อเหตุมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงเดือนพฤศจิกายน 2565 ที่ผ่านมา ซึ่งชาวบ้านได้รวมตัวกันเข้าแจ้งความกับตำรวจ สภ.แวงน้อย ทั้งหมด 9 ราย ได้ทองคำรูปพรรณไปทั้งหมดน้ำหนักรวมกว่า 30 บาท โดยเป็นการก่อเหตุหลายหลังหลายครั้งหลายวัน โดยไม่เลือกช่วงเวลา แต่จะเลือกบ้านที่มีคนแก่อาศัยอยู่และเน้นเฉพาะทองคำรูปพรรณเท่านั้น ซึ่งภายหลังชาวบ้านเข้าแจ้งความทางตำรวจและฝ่ายปกครองก็มีการนำกล้องวงจรปิดมาติดตั้งตามแยกภายในหมู่บ้าน รวมทั้งชาวบ้านเองก็พากันซื้อกล้องวงจรปิดมาติดที่บ้านของใครของมัน จนคนร้ายหายไปช่วงหนึ่ง ก่อนจะกลับมาก่อเหตุอีกครั้ง และลงมือวิธีการเดิมเลือกเหยื่อที่เป็นคนแก่เหมือนเดิม แล้วเข้าไปรื้อค้นหาทรัพย์สิน
แต่ครั้งนี้ไม่ได้เอาเพียงแค่ทองคำ แต่เลือกเอาเงินสดไปด้วยทั้งหมด โดยก่อเหตุต่อเนื่องช่วงล่าสุดเมื่อวันที่ 6 ธ.ค.2565 ที่บ้านของนางบัวลอง ด้วงจุมพล อายุ 46 ปี เวลา 13.00น. คนร้ายได้สร้อยข้อมือหนัก 1 บาทและเงินสด 8,000 บาท และรายสุดท้าย รายที่ 11 นางบุญจิตร โพธิ์ศรีขาม อายุ 63 ปี เหตุเกิดวันที่ 9 ธ.ค.65 เวลา 10.30น. คนร้ายได้เงินสดไปกว่า 10,000 บาท
โดยนางบุญจิตร โพธิ์ศรีขาม อายุ 63 ปี เจ้าของบ้านซึ่งเป็นผู้เสียหายรายล่าสุด รายที่ 11 พาผู้สื่อข่าวไปดูจุดที่คนร้ายแอบเข้ามาในบ้าน โดยคนร้ายมาในช่วงเวลาประมาณ 10.30 น. เมื่อวานที่ผ่านมา (9 ธ.ค.2565) ก่อนเกิดเหตุเวลาประมาณ 10.30 น. เหตุการณ์ยังปกติดี ตนเองเตรียมจะถูพื้นที่ชั้นสองของบ้าน จึงมองดูเวลาพบว่าจะ 11 โมงแล้ว จึงเดินไปกินข้าวที่หน้าบ้าน โดยมีสามีกับหลานชายนั่งกินอยู่หน้าบ้านด้วยกัน ตนเองกินเสร็จประมาณ 5 นาที กลับมาพบความผิดปกติที่หน้าต่างห้องนอนตนเองซึ่งอยู่ทางด้านหลังของตัวบ้านติดกับสวนหลังบ้านของเพื่อนบ้าน โดยแง้มเปิดอยู่ครึ่งบาน จึงรีบไปดูกระเป๋าของตนเองวางอยู่ม้านั่งไม้ห้องโถงของบ้านติดกับห้องนอนหลาน ก็พบว่ากระเป๋าอยู่ใต้ม้านั่งทั้งที่วางอยู่ด้านบน และพบว่าเงินที่อยู่ในกระเป๋าเป็นเงินสดหายไป และเงินบนหัวเตียงหลานชายเก็บไว้ใต้เคสโทรศัพท์มือถือก็หายไป รวมเป็นเงินสดกว่า 10,000 บาท โชคดีที่ตนเองนำทองไปฝากไว้ร้ายทอง เพื่อไม่ให้โดนขโมย หากตำรวจจับคนร้ายได้จึงจะพากันไปไถ่คืนมา เพราะหลังจากที่มีโจรขโมยทองอาละวาดได้ทองไปกว่า 30 บาท จนตอนนี้ไม่รู้ว่าได้ไปอีกกี่บาท ชาวบ้านก็พากันนำไปร้านทองเพื่อฝากเสียดอกเบี้ยจะได้ปลอดภัยกว่าเก็บไว้ในตัว หลังเกิดเหตุก็ได้เข้าแจ้งความทันที
นางบุญจิตร บอกอีกว่า เชื่อว่าคนร้ายจะเป็นคนในหมู่บ้านที่รู้ความเคลื่อนไหวของชาวบ้าน รู้ว่าใครมีเงินมีทอง ก็เข้าไปก่อเหตุแบบไม่มีใครรู้ตัวแม้แต่น้อย จนตอนนี้ชาวบ้านทุกคนต่างหวาดผวากลัวคนร้ายจะย้อนมาก่อเหตุอีก แจ้งความไปตำรวจก็ยังจับคนร้ายไม่ได้ และคนร้ายย่ามใจกลับมาก่อเหตุอีกครั้ง และไม่ได้เอาเฉพาะทองคำแต่เอาเงินสดด้วยแล้ว อยากให้ตำรวจช่วยเร่ติดตามจับคนร้ายมาดำเนินคดีด่วน ชาวบ้านกลัวกันทุกคน
ด้านนางอำพร ด้วงจุมพล อายุ 56 ปี อยู่บ้านเลขที่ 28 ม.2 ผู้เสียหายรายแรกที่ถูกขโมยขึ้นบ้านขโมยทรัพย์สินไปเมื่อวันที่ 2 ต.ค.2565 ประมาณ 1 ทุ่ม หลังจากที่กลับมาจากร่วมงานศพคนในหมู่บ้าน กลับมาบ้าน กำลังนั่งรับประทานอาหารกันที่หน้าบ้าน โดยได้วางทรัพย์สินไว้ในห้องนอนชั้นล่างใต้โต๊ะทีวี โดยได้ปิดล็อกหน้าต่างอย่างดี แต่ประตูด้านหลังบ้านลืมปิด หลังทานข้าวเสร็จน้องสาวกลับไปทำงานต่อที่กรุงเทพ พอไปถึงกรุงเทพ โทรศัพท์มาหาตัวเองว่าทรัพย์สินหายเป็นสร้อยข้อมือ หนัก 2 บาท แหวน 1 สลึง ซึ่งตอนนั้นไม่อยากแจ้งความ เพราะว่ามีญาติๆอยู่ด้วย เลยไม่อยากแจ้งความ เพราะไม่อยากกล่าวหาญาติ จนกระทั่งต่อมาวันที่ 29 ตุลาคม 65 ช่วงนั้นที่หมู่บ้านมีงาน ตนเองก็ไปร่วมงานด้วย ในช่วงเวลา 19.00น. จนกระทั่งเวลา 22.00น.ได้กลับเข้าบ้าน ซึ่งทุกอย่างในบ้านก็ปกติ ไม่มีพิรุธให้สงสัย จนกระทั่งเช้าวันที่ 30 ตุลาคม65 ช่วงเวลาประมาณ 08.00น.ตัวเองจะร่วมงานแต่งหลานในหมู่บ้าน จึงได้ทองจะมาใส่ไปร่วมงาน แต่ปรากฏว่า ทองหาย เป็นสร้อยคอทองคำน้ำหนัก 2 บาทพร้อมจี้ ร.5 เลี่ยมทอง 1 สลึง ,สร้อยคอทองคำ น้ำหนัก 2 บาทพร้อมจี้หลวงปู่วรพจเลี่ยมทอง 1 สลึง สร้อยข้อมือ น้ำหนัก 2 บาท รวมมูลค่ากว่า 220,000 บาท ซึ่งคาดว่าคนร้ายจะปีนกำแพงข้างบ้านมาและปีนยุ้งข้าวที่อยู่ติดหลังคาบ้าน ก่อนจะย่องเข้าไปงัดหน้าต่างห้องตรงกลาง เข้าไปขโมยทรัพย์สินของตัวเอง และตัดสินใจติดกล้องวงจรปิด จำนวน 11,000 บาท
นางอำพร ยังบอกอีกว่า หลังตัวเองติดกล้องวงจรปิด คนร้ายยังย่ามใจและไม่กลัวกล้องวงจรปิด ยังคงเข้ามาขโมยทองคำของนางนวลจันทร์ ด้วงจุมพล พี่สาว เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 65 ซึ่งมีบ้านติดกัน ห่างกันแค่ 20 เมตร โดยคนร้ายได้ทรัพย์สินไปเป็นสร้อยคอทองคำ น้ำหนัก 2 บาท ข้อมือ 1 บาท และเงินสด จำนวน 1,000 บาท แต่กล้องวงจรปิดไม่สามารถเห็นพฤติกรรมของคนร้ายได้ (กล้องหันอีกด้าน) จึงได้ไปแจ้งความกับตำรวจ แต่คดีไม่คืบหน้า
อีกทั้งตำรวจยังมาถามตัวเองอีกว่า จับคนร้ายได้ไหม ยังมีคนมาวนเวียนที่บ้านอีกไหม ตัวเองจึงถามกลับว่าใครมาวนเวียน เป็นตำรวจไม่ต้องมาถามประชาชน เป็นตำรวจต้องเป็นที่พึ่งของประชาชน ไม่ประชาชนเป็นที่พึ่งของตำรวจและต้องขโมยเอง แบบนี้ควรลาออกดีกว่า
Leave a Response