เปิดใจลูกชายพาแม่วัย 80 ปี ออกมาจากสำนักฤาษีที่อ้างตัวเป็นพระบิดาทุกศาสนา นำของเสียจากร่างกายให้ชาวบ้านกินอ้างว่ารักษาได้สารพัดโรค เบื้องต้นแม่ปลอดภัยแต่จิตใจยังห่วงสำนักฤาษีอยากกลับไปอีก ลูกๆต้องไม่ให้เห็นข่าวไปสักพัก ขณะที่แม่เล่าให้ฟังว่าได้กินน้ำลายและเสมหะของพระบิดาต่ำไม่ได้เล่าว่ากินน้ำเหลืองจากศพ
จากกรณีเมื่อวันที่ 8 พ.ค. 65 นายไกรสร กองฉลาด ผู้ว่าราชการจังหวัดชัยภูมิ พร้อมด้วย หมอปลา นำเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง และตำรวจ จังหวัดชัยภูมิ บุกเข้าตรวจสอบ สำนักฤๅษีประหลาดตั้งอยู่ในที่สาธารณะหมู่บ้าน กุดแคน หมู่ 2 ต.ดงกลาง อ.คอนสาร จ.ชัยภูมิ เปิดรับรักษาโรคทุกชนิดโดยการรักษาให้ผู้ป่วยกิน ปัสสาวะ กินอุจจาระ กินเสมหะและขี้ไคล รวมถึงยาที่ดองไว้นับ 100 โอ่งมังกรให้กินเป็นยารักษาโรคต่างๆ ให้กับคนไข้ที่เดินทางมาจากทั่วสารทิศเข้ามาทำการรักษาอยู่ในสำนักดังกล่าว จากการเข้าตรวจสอบภายในสำนักฯ เจอร่างผู้เสียชีวิตถึง 11 ราย บรรจุอยู่ในโลงศพ โดยมีการอ้างว่า รอการขึ้นสวรรค์ ขณะที่ทางลูกศิษย์แจ้งว่าไม่สามารถนำใบยืนยันการเสียชีวิตมาให้ดูได้จำนวน 5 ศพ และยังพบชายสูงอายุ ผมยาว หงอกขาว ทราบชื่อภายหลัง นายทวี หนันลา อายุ 75 ปี ชาว ต.โนนสะอาด อ.หนองเรือ จ.ขอนแก่น ซึ่งอ้างตัวว่าเป็นเจ้าสำนักฯ เบื้องต้นทางตำรวจได้เชิญตัวชายสูงอายุ ออกจากสำนัก ท่ามกลางเสียงร้องตะโกน ต่อต้าน ของลูกศิษย์ที่ส่วนใหญ่จะเป็นญาติพี่น้องของชายรายดังกล่าว ที่ไม่ยอมให้เจ้าหน้าที่นำตัวนายทวีฯ เจ้าสำนักฯ ออกไป
ล่าสุดเมื่อเวลา 13.30 น.วันที่ 9 พฤษภาคม 2565 ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่ไปยังบ้านเลขที่ 97 ม.10 บ้านทรายทอง ต.วังเพิ่ม อ.สีชมพู จ.ขอนแก่น ซึ่งเป็นบ้านของ นางน้อย แดนคำสาร อายุ 80 ปี หนึ่งในลูกศิษย์ของฤาษี ที่อ้างว่าเป็นพระบิดาทุกศาสนา ชื่อว่า นายทวี หนันลา อายุ 74 ปี เจ้าของสำนักปฏิบัติธรรมในพื้นที่ อ.คอนสาร จ.ชัยภูมิ ซึ่งถูกควบคุมตัวไปสอบสวนตั้งแต่วันที่ 8 พ.ค.ที่ผ่านมา โดยได้พบกับนายชัย แดนคำสาร อายุ 52 ปี ลูกชายของนางน้อย กำลังนั่งดูข่าวแม่ตัวเองที่ได้พาออกมาจากสำนักฤาษีดังกล่าว
นายชัย เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า เมื่อช่วงประมาณปลายปี 2563 จนถึงปี 2564 แม่ไปเยี่ยมหลานชาย ซึ่งเป็นลูกของพี่ชายที่อ.คอนสาร จ.ชัยภูมิ จึงทราบว่า หลานชายและพ่อตา แม่ยายนั้น เป็นลูกศิษย์ของพระบิดาที่สำนักปฏิบัติธรรมมาหลายปีแล้ว หลานชายจึงชวนแม่น้อยเข้าไปเยี่ยมชมที่สำนักปฏิบัติธรรม เมื่อแม่น้อยเข้าไปชมแล้วก็กลับมาเล่าให้ลูกๆฟังว่า ไปเจอพ่อของพระเยซูมา จนเกิดความเลื่อมใสศรัทธาอยากไปปฏิบัติธรรมที่สำนักดังกล่าว ซึ่งเดิมทีแม่น้อยนับถือศาสนาคริสต์ เมื่อไปที่สำนักปฏิบัติธรรมประหลาดมาก็เริ่มมีความอยากไปบ่อยขึ้น เหมือนกับเกิดความเลื่อมใสไปแล้ว ช่วงแรกๆไปพักที่สำนักปฏิบัติธรรมประหลาดคราวละ 7-10 วัน ระยะหลังๆไปอยู่นานเป็นเดือน เมื่อแม่น้อยกลับมาที่บ้าน จะเห็นคราบขี้โคลนติดตามร่างกาย และมีตุ่มพุพองขึ้นตามแขนขา ทำให้ลูกๆก็ไม่อยากให้ไปอีก แต่สุดท้ายลูกก็ต้องยอม เพราะมันคือความสุขของแม่ โดยล่าสุดแม่น้อยอยากกลับไปอยู่ที่สำนักปฏิบัติธรรมอีก พี่สาวหรือ น.ส.เจนจิรา สุวรรณ จึงตัดสินใจขับรถไปส่ง พร้อมทั้งสังเกตุความเป็นอยู่ในบริเวณสำนักปฏิบัติธรรม ก็พบว่ามีแต่ความสกปรก ไม่มีการถือศีลหรือปฏิบัติธรรมแต่อย่างใด จึงชวนแม่น้อยกลับบ้าน แต่แม่น้อยไม่ยอมกลับยืนยันจะอยู่ต่อ พี่สาวจึงกลับมาปรึกษาพี่น้องและร้องขอความช่วยเหลือจากหมอปลา เพื่อช่วยเหลือพาตัวแม่ออกมาจนเป็นข่าวดังกล่าว
นายชัย กล่าวอีกว่า กรณีการกินอุจจาระ กินปัสสาวะ น้ำลาย เสมหะ หรือขี้ไคลของชายที่อ้างว่าเป็นพระบิดา เพื่อรักษาโรคภัยไข้เจ็บนั้น จากการพูดคุยกับแม่น้อย ทราบว่าแม่น้อยเคยกินแต่น้ำลาย เสมหะ ส่วนเรื่องการเก็บศพคนตายเอาน้ำเหลืองมาปรุงเป็นสมุนไพร รักษาโรคนั้น ไม่เคยได้ยินแม่น้อยพูดถึง แม่น้อยพูดเพียงว่า ในสำนักปฏิบัติธรรมนั้น มีการเก็บศพคนตายเอาไว้ แต่ทุกคนที่เป็นลูกศิษย์ที่เข้าไปอยู่ในสำนักปฏิบัติธรรม ไม่มีใครที่ไม่เชื่อถือ หรือไม่เลื่อมใสพระบิดา ทุกคนเคารพนับถือทั้งหมด เพราะไม่มีการเรียกเก็บเงินหรือให้บริจาคเงินทองของใช้แต่อย่างใด เพียงแค่ช่วยกัน ทำน้ำพริก ทำขนมคบเคี้ยว ทำข้าวเกรียบส่งขาย ก็มีเงินซื้ออาหารกินครบ 3 มื้อ
หลังจากหมอปลาพร้อมเจ้าหน้าที่ทุกภาคส่วนเข้าตรวจค้นและช่วยเดหลือแม่น้อยออกมาได้ คุมตัวพระบิดาไปสอบสวน ลูกๆก็รู้สึกโล่งใจ และไม่ให้แม่น้อยดูข่าวที่เกิดขึ้นในสำนักปฏิบัติธรรม เพราะดูออกว่าแม่ยังมีความห่วงใยในสำนักปฏิบัติธรรมและเชื่อว่ายังอยากจะไปอีก จึงบอกแม่ไปว่า เจ้าหน้าที่บุกทลายหมดแล้ว ไม่มีพระบิดา ไม่มีสำนักปฏิบัติธรรมแล้ว และให้แม่น้อยนอนพักผ่อน โดยลูกหลานญาติพี่น้องช่วยกันดูแล แม่น้อยเป็นอย่างดี
Leave a Response