ชาวบ้านวอนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแก้ปัญหาสถานประกอบการเปิดเพลงเสียงดังรบกวนการหลับนอน ผู้ป่วยโรคหัวใจต้องสะดุ้งใจสั่น ถึงขั้นขายบ้านย้ายหนีไปที่อื่น เคยเป็นข่าวไปเมื่อเดือนที่แล้ว แต่ผ่านไป 3 วันกลับมาเสียงดังอีกครั้ง พร้อมรวบรวมรายชื่อชาวบ้านที่อยู่ในละแวกเดียวกันกว่า 50 คนเตรียมยื่นศูนย์ดำรงธรรมอีกครั้ง

มีกรณีเพจเฟซบุ๊กชื่อ “อยากดังเดี๋ยวจัดให้ รีเทริน์ part 3” โพสต์คลิปสถานบันเทิงในจังหวัดขอนแก่นเปิดเพลงเสียงดังกระหึ่มไปทั่วบริเวณ โดยมีแสงไฟฉายส่องมาใส่ชาวบ้านที่อัดคลิปดังกล่าว โดยระบุข้าความว่า “#ทุกข์ชาวบ้าน เสียงนี้ที่ดังฟังแล้วคิดไง..ร้าน..ชุมชน..อยู่ร่วมกันได้ไหม ช่วงนี้ขอนแก่นเกิดกลียุคกันหรืออย่างไร ผับบาร์ที่ผู้ได้ผลประโยชน์เรียกกันว่าร้านอาหารพากันขนเครื่องเสียง ไฟ แสง สี ออกมาเปิดริมถนนกันจนดึกดื่น ยืนดูในบ้านก็ถูกเอาไฟตามส่องหน้าถึงในบ้าน คงไม่ต้องบอกว่าขัดต่อกฎหมายทุกฉบับ เบียดเบียนกันอย่างหนัก มีคนร้องเรียนเดือดร้อนกันมาก แต่เจ้าหน้าที่ก็ทำอะไรไม่ได้ ประชาชนที่ถูกรังแกถูกเบียน หมดหนทาง หมดที่พึ่ง ต้องอดทนซ่อนตัวเพราะกลัวถูกทำร้าย คนที่ย้ายบ้านหนีได้ก็ต้องพยายามขายบ้านย้ายหนี โดยเฉพาะแถวติดเทศศบาลซึ่งอยู่กลางชุมชน หรือนี้คืออาเพศที่ฟ้าผ่าลงแถวศาลเจ้าพ่อหลักเมืองเมื่อวันก่อน ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์จงช่วยปกปักรักษาคนขอนแก่นด้วย”

ล่าสุดเมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 27 เม.ย.2565 ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่ไปยังพื้นที่ดังกล่าวซึ่งอยู่ที่ถนนประชาสำราญ ในเขตเทบาลนครขอนแก่น เพื่อพบกับนายมนต์สิทธิ์ ทัศนาวิวัฒน์ อายุ 54 ปี เจ้าของบ้าน ซึ่งเป็นทันตแพทย์ เจ้าของคลินิกทันตกรรม ในเมืองขอนแก่น และเป็นคนที่โพสต์คลิปเสียง ร้องเรียนในโซเชียล พาผู้สื่อข่าว ขึ้นไปชั้นสอง บริเวณห้องนอนและห้องพระ ที่มีหน้าต่าง ห่างจากสถานบันเทิงประมาณ 100 เมตร มองเห็นสถานบันเทิงที่เปิดเสียงดังในช่วงที่เปิดให้บริการในเวลากลางคืนทั้งสองร้าน คือ ร้านสุขสันต์ และร้านวินเทจ ที่ตั้งอยู่ริมถนน ได้อย่างชัดเจน

นายมนต์สิทธิ์ ทัศนาวิวัฒน์ อายุ 54 ปี เจ้าของบ้าน กล่าวถึงการถ่ายคลิปเสียง โพสต์ในโซเชียลว่า ไม่ใช่ครั้งแรกที่ทำเช่นนี้ ทำมาหลายครั้ง ร้องเรียนไปทุกหน่วยงาน รวมถึงศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดขอนแก่น และสำนักนายกรัฐมนตรี แต่ไม่มีหน่วยงานใด เข้ามาแก้ไข มีเพียงการลดเสียงลงประมาณ 2-3 วัน ก็กลับมาเป็นเช่นเดิมอีก ตนเองมองว่าเมืองขอนแก่น กลายเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อนไปแล้ว เพราะสิ่งที่เจ้าของสถานบันเทิงกระทำนั้น หากพูดถึงกฎหมาย บอกเลยว่าผิดกฎหมายทุกข้อ โดยเฉพาะมลพิษทางเสียง ที่ไม่มีการควบคุม หน่วยงานที่รับผิดชอบและเกี่ยวข้อง ไม่ใสใจเข้ามาแก้ไขปัญหา อยากให้ผู้ใหญ่ในบ้านเมือง ได้โปรดเข้ามาแก้ไขปัญหาเรื่องเสียงให้ชาวบ้านด้วย

นายมนต์สิทธิ์ กล่าวอีกว่า การร้องเรียนนั้น ไม่ใช่เพียงเพราะตนคนเดียวที่เดือดร้อน ชาวบ้านอีกร่วมร้อยครอบครัวที่ร่วมลงชื่อว่าตัวเองเดือดร้อนในเรื่องเสียง แต่เหมือนว่าทุกคนต้องอยู่ในสภาพที่ต้องอดทน รับสภาพ เพราะถ้าออกมาร้องเรียน จะได้รับความเดือดร้อน ตนจึงเสมือนตัวแทนของชาวบ้าน เดินหน้าออกมาร้องเรียน ไม่ใช่ไม่กลัว กลัวจนต้องพกปืนติดตัวออกจากบ้านไปทำงาน แต่ต้องการเห็นความเป็นธรรมเกิดขึ้น อยากให้สถานบันเทิงลดเสียงลง เพื่ออยู่ร่วมกับชาวชุมชนในละแวกเดียวกันได้อย่างมีความสุข

ในขณะเดียวกันก็มี นางสาวรุ่งนภา (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 40 ปี อยู่โซนถนนประชาสำราญ ในเขตเทศบาลนครขอนแก่น หนึ่งในชาวบ้านที่มีบ้านพักอยู่ท่ามกลางสถานบันเทิงหลายแห่ง และเป็นหนึ่งในชาวบ้านที่ได้รับความเดือดร้อน จนต้องประกาศขายบ้าน และต้องหอบพ่อ ที่ป่วยเป็นโรคหัวใจ ไปอาศัยนอนที่บ้านญาติเพราะทนนอนกับเสียงดังในตอนกลางคืนไม่ได้ เข้าร้องเรียนกับสื่อมวลชนอีกคน

นางสาวรุ่งนภา กล่าวว่า อาศัยอยู่ที่บ้านหลังดังกล่าวกับพ่อและลูกชาย ตั้งแต่ พ.ศ.2548 จนถึงปัจจุบัน สถานบันเทิงไม่ได้เพิ่มขึ้น แต่เปลี่ยนเจ้าของใหม่บ่อยๆ มีการปรับปรุงและใช้เสียงดังมากขึ้นเรื่อยๆ จนลูกชายที่กำลังเรียนชั้น ม.6 ต้องย้ายไปอยู่กับน้องสาวที่นอกเมือง ส่วนบิดาก็กลายเป็นผู้ป่วยโรคหัวใจ จึงต้องประกาศขายบ้านมาเป็นเวลา 2 ปี แล้วก็ยังขายไม่ได้ ทนกับเสียงที่ดังมากว่า 10 ปี เคยเดินเข้าไปหา ผู้จัดการ และเจ้าของร้านทุกร้านที่อยู่ริมถนนประชาสำราญ เพื่อขอร้องให้ลดเสียง เพราะพ่อป่วย เมื่อตรวจกับหมอ หมอแจ้งว่าพ่อป่วยโรคหัวใจ จึงตัดสินใจขอร้องทางสถานประกอบการให้ลดเสียง แต่ไม่มีร้านไหน ให้ความร่วมมือด้วย ช่วง 2-3 ปีนี้ ทุกเย็นจะพาพ่อนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ ออกจากบ้าน ไปนอนที่บ้านญาตินอกเมือง เพราะที่บ้านตัวเองกลางคืนเสียงดัง พ่อนอนไม่ได้ จึงอยากเรียกร้องให้ ผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น นายอำเภอเมืองขอนแก่น นายกเทศมนตรีนครขอนแก่น และตำรวจ รวมถึงเจ้าหน้าที่ ที่รับผิดชอบเรื่องมลพิษของเสียง มาตรวจสอบและดำเนินการให้สถานบันเทิงลดเสียงลงให้ด้วย