ร้านก๋วยจั๊บชื่อดังขอนแก่น แบกรับต้นทุนหมูแพงไม่ไหว ขอปรับราคาจำหน่ายขึ้น 10 บาททุกเมนู ขณะที่หมูกรอบจำหน่ายขีดละ 80 บาท

ร้านก๋วยจั๊บชื่อดังขอนแก่น แบกรับต้นทุนหมูแพงไม่ไหว ขอปรับราคาจำหน่ายขึ้น 10 บาททุกเมนู ขณะที่หมูกรอบจำหน่ายขีดละ 80 บาท เจ้าของร้านเผยลูกค้าเข้าใจในสถานการณ์ภาวะของแพง วอนรัฐแก้ปัญหาจริงจัง จัดมหกรรมธงฟ้าราคาประหยัดก็ขอให้คำนึงถึงผู้ประกอบการรายย่อยบ้าง และนายทุนรายใหญ่ควรหยุดกักตุนสินค้าได้แล้ว

เมื่อเวลา 18.00 น. วันที่ 26 ม.ค.2565 ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่สำรวจราคาจำหน่ายสินค้าอุปโภคและบริโภค หลังพบว่าราคาในค้าส่วนใหญ่ยังคงแพงมาอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ช่วงเทศกาลปีใหม่ที่ผ่านมา โดยเฉพาะไข่ไก่ เนื้อหมู เนื้อไก่ ปลา และราคาน้ำมันปาล์ม ทำให้ลูกค้าส่วนใหญ่จำกัดการซื้อลงอย่างเห็นได้ชัดในขณะที่พ่อค้า-แม่ค้า ในกลุ่มร้านอาหารต่างมีการปรับขึ้นราคาจำหน่ายเช่นกันเนื่องจากทนต่อการแบกรับภาระต้นทุนไม่ไหว


เช่นเดียวกันกับร้านก๋วยจั๊บน้ำใส เจ้าเก่าเมืองขอนแก่น ซึ่งตั้งอยู่ภายในตลาดโต้รุ่งร่วมจิตร เขตเทศบาลนครขอนแก่น ที่พบว่ามีการขอปรับราคาจำหน่ายขึ้นเมนูละ 10 บาท ประกอบด้วยก๋วยจั๊บน้ำใส เดิมจำหน่ายแบบ ธรรมดาชามละ 40 บาท พิเศษ 50 บาท ก็มีการปรับราคาจำหน่ายขึ้นเป็น ธรรมดาชามละ 50 บาท พิเศษ 60 บาท ขณะที่เกาเหลา เดิมธรรมดาชามละ 50 บาทพิเศษ 60 บาท ก็มีการปรับขึ้นเป็นธรรมดาชามละ 60 บาท และพิเศษ 70 บาท

นายศิริศักดิ์ แซ่เต็ง เจ้าของร้านก๋วยจั๊บน้ำใสเจ้าเก่าเมืองขอนแก่น กล่าวว่า การปรับขึ้นราคาจำหน่ายได้มีการติดป้ายที่หน้าร้านชัดเจน และเป็นราคาที่ลูกค้าเข้าใจและรับได้ ลูกค้ายังคงมารับประทานกั๋วยจั๊บของทางร้านเช่นเดิม เนื่องจากเป็นที่ทราบกันดีว่าภาวะราคาสินค้าแพงขึ้นมาอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะเนื้อหมู ที่เดิมหลายสิบปีไม่ขึ้นราคา เคยแพงสูดที่ กก.ละ 170 บาทแต่มาตั้งแต่ช่วงกลางปี 2564 สัญญาณการปรับขึ้นราคาเริ่มชัดเจนขึ้น เนื้อหมูขยับขึ้นราคาแบบก้าวกระโดด ครั้งละ 20-30 บาทและมาแพงที่สุดคือช่วงก่อนปีใหม่มาจนถึงวันนี้ราคายังแพงอยู่กิโลกรัมละเกือบ 300 บาท ซึ่งทางร้านนั้นใช้หมูเป็นหัวใจหลักในการทำก๋วยจั๊บ โดยเฉพาะหมูสามชั้นที่ใช้ไม่ต่ำกว่าวันละ 5 กก. ซึ่งก็ทราบกันดีว่าการทำหมูกรอบชั้นนั้นต้องใช้ต้นทุนสูง อย่างแผ่นที่ใช้วันนี้ซื้อมาแผ่นละ 5 กก. ก็จะได้หมูกรอบประมาณ 4 กก. ซึ่งหากร้านไม่ทำหมูกรอบมาจำหน่ายลูกค้าก็จะไม่ซื้อก๋วยจั๊บ ดังนั้นการที่ปรับขึ้นราคาจำหน่ายชามละ 10 บาทจึงเป็นราคาที่เหมาะสม

“ ในช่วงปลายปีที่ผ่านมาลูกค้าก็ถามมาตลอดว่าทำไมร้านไม่ปรับขึ้นราคาเพราะราคาหมูแพงมาอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งปลาย ธ.ค.ราค่าขัยทะลุกว่า 200 บาทต่อ กก. และราคาวันนี้ ทะลุกว่า 240-250 บาท ต่อ กก. ทำให้ร้านต้องปรับขึ้นราคาเพราะแบกรับราคาต้นทุนไม่ไหวแล้ว ขณะที่เครื่องในหมู อย่างตับ ปอด เลือด ไส้ ก็ปรับราคาขึ้น กก.ละ 5-10 บาท กระดูกหมูต้มซุปเดิม ซื้อ 20 บาทได้ 4 ชิ้น วันนี้ก็ซื้อได้ในราคา 20 บาท 2 ชิ้นเล็กๆ ซึ่งยอมรับว่าต้นทุนทุกอย่างนั้นแพงจริงๆ ดังนั้นร้านจึงต้องจำเป็นที่จะต้องปรับขึ้นราคาจำหน่าย และหากราคาต้นทุนลดลงก็จะมีการปรับราคาลงเช่นกัน”

นายศิริศักดิ์ กล่าวต่ออีกว่า หมูกรอบ คือหัวใจหลักของร้าน ที่ลูกค้าทุกคนจะมาถามหาทั้งใส่ในก๋วยจั๊บ และซื้อแยกเฉพาะกลับบ้าน ซึ่งหากวันไหนหมูกรอบหมด หรือไม่มีหมูกรอบ เพราะราคาต้นทุนแพง ลูกค้าก็จะไม่สั่งก๋วยจั๊บทันที ดังนั้นการปรับปรับขึ้นราคาในระยะนี้ลูกค้าเข้าใจ ในภาวะสินค้าแพงแทบทุกอย่าง ขณะที่หมูกรอบ ซึ่งร้านก็จำหน่ายแบบแยก ก็จำหน่ายให้กับลูกค้าขีดละ 80 บาท จากเดิมก่อนน้านี้จำหน่ายขีดละ 60-70 บาท อย่างไรก็ตามรัฐบาลควรที่จะมีความจริงใจในการแก้ปัญหา หากต้องการที่จัดมหกรรมธงฟ้าราคาประหยัดก็ควรที่จะพิจารณาให้กับพ่อค้า-แม่ค้า ได้ซื้อสินค้าในราคาถูกเพื่อนำมาผลิตสินค้าและอาหารจำหน่าย เนื่องจากบางทีการแก้ปัญหาด้วยการจำหน่ายสินค้าราคาถูกนั้นก็กระจุกเฉพาะบางกลุ่ม และชาวชุมชนและไม่กระจายครอบคลุมทุกพื้นที่ ดังนั้นจึงอยากให้คำนึงถึงกลุ่มพ่อค้า-แม่ค้า รายย่อยบ้าง ขณะเดียวกันจากภาวะราคาสินค้าที่แพงนั้นทุกคนรู้อยู่แก้ใจว่านายทุนกักตุนสินค้า ดังนั้นถึงเวลาที่นายทุนจะต้องเสียสละและยอมให้ภาวะกลไกของตลาดนั้นเดินหน้าต่อไป ควรปล่อยสินค้าที่กักตุนไว้ โดยเฉพาะเนื้อสัตว์ให้ออกสู่ท้องตลาดและให้ราคาสินค้าต่างๆนั้นกลับมาสู่สภาวะปกติเช่นเดิมโดยเร็ว

 

Leave a Response

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง