ขอนแก่น แม่พาลูกสาวป.6 แจ้งความถูกครูโพสต์เฟซบุ๊กกล่าวหา (มีคลิป)

news2021_Facebook1

ครูโพสเฟซบุ๊กเตือนนักเรียน พ่อแม่เดือด โร่แจ้งตำรวจ ยืนยันเอาผิดทั้งอาญาและวินัย ด้านครูยืนยันไม่มีเจตนา

        เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 8 ตุลาคม 2564 นางสาวนุชจรินทร์ อายุ 38 ปี อยู่บ้านเลขที่ 34 ม.5 บ้านนายม ต.วังเพิ่ม อ.สีชมพู จ.ขอนแก่น พร้อมสามีและลูกสาวนักเรียนชั้น ป.6 นำหลักฐาน ที่ได้จากการแค้ปหน้าเฟซบุ๊ก รายหนึ่ง ที่มีข้อความพร้อมภาพ ว่า

“ประกาศๆๆๆ เตือน…..นักเรียนที่มาจู๋จี๋กันในโรงเรียน พวกเธอฮู้บ่ มันมีกล้องทุกจุดเด้อ อย่าโพดโพหลาย บอกกะบ่ฟัง กล้องชัดเด้อ ซูมเบิ่งทุกรูขุมขน ไผเป็นมุในเฟสครูไปบอกกันแน” และมีการแค้ปหน้าเฟซบุ๊กชื่อดังกล่าวมาอีกหลายแผ่น เพื่อเป็นหลักฐานในการเข้าแจ้งความร้องทุกข์เอาผิดคนที่เอาภาพลูกสาว โพสต์เฟซบุ๊กพร้อมข้อความดังกล่าว

        นางสาวนุชจรินทร์ อายุ 38 ปี เปิดเผยว่า ตนเองกับสามีไปทำงานอยู่ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ปล่อยให้ลูกสาวอยู่กับยายที่บ้านสีชมพู และเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม ที่ผ่านมา มีเพื่อนของลูกสาว ส่งภาพที่แค้ปหน้าเฟซบุ๊กของครูที่โพสต์ ภาพลูกสาวขณะนั่งคุยกับเพื่อนผู้ชายในโรงเรียน โดยมีข้อความอธิบายเอาไว้ ส่งมาให้ดู เมื่ออ่านข้อความจึงตกใจมาก เพราะไม่คิดว่าลูกสาวที่กำลังเรียนชั้นป.6 จะทำเรื่องเสื่อมเสียให้โรงเรียน และไม่คิดว่าครูจะโพสต์เฟซบุ๊กประจานนักเรียนของโรงเรียนตัวเอง หลังเลิกงานจึงโทรศัพท์ติดต่อไปที่โรงเรียน ได้พูดคุยกับรักษาการผู้อำนายการในขณะนั้น ซึ่งทราบว่าทางโรงเรียนกำลังคุยกันในเรื่องดังกล่าวอยู่

        จากนั้นได้โทรศัพท์ไปหาเจ้าของเฟซบุ๊กคชื่อดังกล่าว ซึ่งทราบว่า เป็นครูผู้หญิงสอน ชั้น ป.3 ในโรงเรียนอนุบาลสีชมพู จึงได้สอบถามในเรื่องที่โพสต์ภาพพร้อมขอความลงในเฟซบุ๊ก เพราะมีการแชร์ไปทั่ว ซึ่งครูคนดังกล่าวบอกว่า ขอโทษที่ใจร้อน มือไว โพสต์เฟสไปเฉยๆ ไม่คิดว่าใครจะเสียหาย จึงบอกไปอีกว่า ครอบครัวเสียหาย ลูกสาวก็อับอายเพื่อน และเปิดเทอมลูกจะสู้หน้าใครได้ และในขณะเดียวกันครูก็ให้ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านไปพบยายที่บ้านพร้อมกับบอกว่า ครูอยากมาขอโทษ และพร้อมจะขอโทษทุกเมื่อ ที่ไหนต่อหน้าใครก็ได้ ยายจึงบอกไปว่า แล้วแต่พ่อแม่ของเด็ก จากนั้นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านก็โทรไปหาตน และพูดเรื่องดังกล่าว จึงบอกไปว่า จะไปแจ้งความดำเนินคดีอาญากับครูรายดังกล่าว และจะไปร้องเรียนเอาผิดทางวินัยที่สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาขอนแก่น เขต 5 จากวันนั้นก็ไม่มีมใครติดต่อมาอีกเลย

        นางสาวนุชจรินทร์ กล่าวอีกว่า ได้สอบถามกับลูกสาวแล้วทราบว่า โควิดระบาด ไม่ได้ไปโรงเรียน แต่เรียนออนไลน์ บางวันก็ไปโรงเรียนกับเพื่อนๆ เจอกับเพื่อนก็มีการพูดคุยกัน โดยลูกสาวยืนยันว่าภาพที่ครูโพสต์ในเฟซบุ๊กเป็นภาพตัวเอง โดยรอบๆบริเวณดังกล่าวก็มีเพื่อนๆอีกหลายคน เมื่อมั่นใจว่าลูกสาวไม่ได้ทำเรื่องเสื่อมเสีย จึงชวนสามีกลับมาที่บ้าน เพื่อเข้าแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจดังกล่าว และในการเข้าแจ้งความก็พบครู นั่งอยู่กับตำรวจก่อนแล้ว ครูก็มาคุยมาขอโทษ แต่ตัวเองและสามีไม่ยอม ยืนยันจะดำเนินคดีตามกฎหมายให้ถึงที่สุด เพราะสิ่งที่ครูโพสต์เฟซบุ๊กเช่นนนั้น ทำให้คนในโซเชียล ตัดสินว่าลูกเป็นคนไม่ดี เพราะครูควรจะว่ากล่าวตักเตือนหรือแจ้งให้ผู้ปกครองของนักเรียนทราบเรื่องไม่ใช่โพสต์เฟซบุ๊กเช่นนี้

        ในเวลาต่อมา น.ส.ขอบฟ้า อายุ 39 ปี ครูสอบป.3 โรงเรียนอนุบาลสีชมพู ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนว่า โรงเรียนมีกล้องวงจรปิด ช่วง 1 ปีที่ผ่านมาขณะเข้าเวนในโรงเรียน จะเห็นนักเรียนทั้งที่เรียนอยู่ในปัจจุบันและคนที่จบออกไปแล้วมามั่วสุมกัน ซื้อเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอร์มาดื่มในโรงเรียน เคยว่ากล่าวตักเตือน แต่ไม่เชื่อว่า บางครั้งมีภาพที่ไม่เหมาะสม ก็ไม่กล้าจะบอก เพราะเกรงจะเป็นอันตรายกับตัวเอง และเมื่อวันที่ 1 ตุลาคมที่ผ่านมา วันเข้าเวร ขณะที่อยู่กับเพื่อนครูในห้องพักครู เห็นนักเรียนมากันหลายคน และมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม จึงถ่ายภาพไว้ และโพสต์เฟซบุ๊ก เพื่อเตือนให้นักเรียนระมัดระวังตัวเอง อย่าทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง โดยไม่ได้เจาะจงและเจตนาว่าใคร ส่วนภาพที่ถ่ายออกมาไปตรงกับนักเรียนชั้นป.6 ก็เป็นเรื่องที่ไม่ตั้งใจและไม่ได้มีเจตนาจะว่านักเรียนรายดังกล่าว เพียงแค่ต้องการว่ากล่าวนักเรียนทั้งหลาย ให้ประพฤติตนเป็นเด็กเดีทั้งที่บ้านและโรงเรียน

        “ด้วยหน้าที่ครู ที่สอนนักเรียนมา ไม่อาจนิ่งเฉยกับสิ่งที่พบเห็น บางทีก็คิดว่าไม่ใช่ลูกหลานไม่สนใจก็ได้ แต่ด้วยความเป็นครูที่อยู่และสอนในสถานศึกษา ซึ่งเป็นสถานที่ราชการ ควรปกป้องลูกศิษย์ของตนเอง ปกป้องชื่อเสียงของโรงเรียน จึงได้โพสต์เฟสบุ๊คเตือนนักเรียนดังกล่าว ในส่วนของพ่อแม่ นักเรียนมาแจ้งความนั้นก็ต้องปล่อย เพราะเคยขอโทษ เคยคุยกันมาแล้ว พ่อแม่ไม่ยอมก็ต้องปล่อยไปตามขั้นตอน หรือจะไปร้องเรียนที่ที่สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาขอนแก่น เขต 5 ก็ต้องปล่อยให้ทำไป ส่วนตนก็จะทำหน้าที่ตัวเองเช่นนี้ต่อไป”

        ทางด้าน พ.ต.อ.ไพรวัลย์ ท้าวพรม ผกก.สภ.สีชมพู จ.ขอนแก่น กล่าวถึงกรณีที่ผู้ปกครองนักเรียนชั้นป.6 เข้าแจ้งความเอาผิดครูใสนครั้งนี้ว่า ในทุกกรณีที่มีเด็กและเยาวชนเข้ามาเกี่ยวข้องนั้น ในทางกฏหมายพนักงานสอบสวนจะต้องประสานสหวิชาชีพมาร่วมสอบสวนในสิ่งที่เกิดขึ้น ส่วนพยานหลักฐานต่างๆที่เกี่ยวข้องก็นำมาให้พนักงานสอบสวนได้ และขอยืนยันว่า จะให้ความเป็นธรรมทั้งสองฝ่าย แต่จากการรายงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่รับแจ้งความร้องทุกข์ไว้นั้น น่าจะเข้าข่ายความผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ทั้งนี้ต้องให้พนักงานสอบสวนทำการสอบสวนทุกคนที่เกี่ยวข้องรวมถึงให้สหวิชาชีพสอบสวนให้เรียบร้อยก่อนจึงจะสรุปได้ว่า จะสามารถดำเนินคดีในข้อหาใดได้บ้าง

 

    

Leave a Response

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง