ขอนแก่น ศาลสั่งสธ.ชดใช้2.8ล้าน รถรพ.ชนเด็ก5ขวบพิการ (มีคลิป)
ศาลอุทธรณ์ภาค4 มีคำพิพากษาให้กระทรวงสาธารณสุข และ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข จ่ายเงินชดใช้ทางแพ่งให้กับครอบครัวน้องปาล์ม เหยื่ออุบัติเหตุ ถูกรถ รพ.ส่งเสริมสุขภาพ จ.ขอนแก่น ชนพิการขาเมื่อปี พ.ศ. 2558 จำนวน 2,836,800 บาท หลัง สธ.และสป.สธ ยื่นอุทธรณ์ขอจ่าย 900,000 บาท
เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 22 พ.ค.2562 ที่ศาลจังหวัดชุมแพ อ.ชุมแพ จ.ขอนแก่น ศาลอุทธรณ์ภาค 4 นัดฟังคำพิพากษาความแพ่ง คดี ด.ช.ปราบปราม เจิมขุนทด หรือน้องปาล์ม เป็นฝ่ายโจทก์ ที่พิการเนื่องจากถูกรถของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านใหม่ อ.สีชมพู จ.ขอนแก่น ขับชนเมื่อปี 2558 เป็นเหตุให้ ด.ช.ปราบปราม ขณะนั้นอายุเพียง 3 ขวบ มีอาการชาตั้งเเต่ราวนมมาถึงช่วงล่าง ไม่มีความรู้สึก และเดินไม่ได้ อีกทั้งเวลาขับถ่ายไม่มีความรู้สึกต้องใส่แพมเพิสและปัสสาวะทางสายยาง ซึ่งก่อนหน้านี้ศาลแขวงขอนแก่น ได้มีคำพิพากษาให้นายเกต นาถมทอง อายุ 68 ปี อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านของโรงพยาบาลดังกล่าวและเป็นคนขับรถ ต้องโทษจำคุกเป็นเวลา 6 เดือน ปรับเป็นเงิน 3,000 บาท รอลงอาญา 2 ปี แต่คดีแพ่ง ทางผู้เสียหาย มี นายศราวุฒิ เจิมขุนทด พ่อของน้องปาล์ม ซึ่งได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ร่วมกับน้องปาล์มเป็นโจทก์ที่ 1 น้องปาล์มเป็นโจทก์ที่ 2 และนางสาวปวีณา หาทรัพย์ แม่ของน้องปาล์ม เป็นโจทก์ที่3 ร่วมกันฟ้องกระทรวงสาธารณสุข เป็นจำเลยที่ 1 สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นจำเลยที่ 2
โดยฝ่ายโจทก์ได้ยื่นฟ้องค่าเสียหาย 3 ส่วน ประกอบด้วยโจทก์ที่ 1 คือพ่อน้องปาล์มเป็นเงินจำนวน 21,500 บาท โจทก์ที่ 2 คือน้องปาล์ม เป็นเงินจำนวน 8,371,324 บาท และโจทก์ที่ 3 คือแม่น้องปาล์ม เป็นเงินจำนวน 1,944,000 บาท และมีการไกล่เกลี่ยกันมาหลายครั้ง ลดหย่อนมาต่อเนื่อง จนฝ่ายโจทก์ยื่นขอเงินชดใช้เป็นเงินจำนวน 5,000,000 บาท ซึ่งทางจำเลยได้ไกล่เกลี่ยขอจ่ายเป็นเงินจำนวน 900,000 บาท แต่ฝ่ายโจทก์ปฏิเสธจึงยังไม่สามารถหาข้อสรุปที่ชัดเจนได้ กระทั่งศาลชั้นต้นได้พิจารณาและมีคำพิพากษาความแพ่งให้จำเลยทั้ง 2 ร่วมกันชำระเงินแก่โจทก์ ที่ 2 เป็นเงินทั้งหมด 2,935,700 บาท และยกฟ้องโจทก์ที่ 1 และ 3 โดยจำเลยทั้ง 2 ได้ขอยื่นอุทธรณ์ต่อศาล
นายศราวุฒิ เจิมขุนทด อายุ 34 ปี พ่อของน้องปาล์ม ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวว่า ในวันนี้ทางครอบครัวและญาติๆ ได้เดินทางมาฟังคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 4 ซึ่งน้อมรับคำตัดสินของศาล โดยทางศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาจำเลยทั้ง 2 คือกระทรวงสาธารณสุข เป็นจำเลยที่ 1 และ สำนักปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นจำเลยที่ 2 ว่าสมควรกำหนดค่าเสียหายสำหรับการสูญเสียความสามารถในการประกอบอาชีพของโจทก์ที่ 2 จำนวนเท่าใด โดยศาลเห็นว่า ดังได้วินิจฉัยมาแล้วว่า นายเกตเป็นผู้กระทำโดยประมาทยิ่งกว่าโจทก์ที่ 1 และสมควรกำหนดให้จำเลยทั้ง 2 ซึ่งต้องรับผิดชอบในการกระทำของนายเกตดังกล่าวรับผิดชอบชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์ที่ 2 แปดในสิบส่วน ฉะนั้นเมื่อโจทก์ที่ 2 เรียกร้องค่าเสียหายส่วนนี้มา 4,302,000 บาท แต่ศาลชั้นต้นกำหนดให้จำเลยทั้ง 2 ต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในส่วนที่เป็นค่าสูญเสียความสามารถในการประกอบอาชีพเป็นระยะเวลา 40 ปี ตั้งแต่อายุ 20 ปี ถึง 60 ปี เป็นเงิน 2,000,000 บาท นับว่าเป็นคุณแก่จำเลยทั้งสองอยู่แล้ว ไม่มีเหตุที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 จะเปลี่ยนแปลงแก้ไข อุทธรณ์ของจำเลยทั้ง2ในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น ดังนั้นเมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า นายเกต นาถมทอง นำเงินค่าเสียหายจำนวน 104,300 บาท มอบให้แก่โจทก์ที่ 2 เพี่อเยียวยาค่าเสียหายแล้ว จำเลยทั้งสองจึงต้องรับผิดค่าเสียหายอันเป็นค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์ที่ 2 เป็นเงินทั้งสิ้น 2,834,800 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 28 ก.ค.2558 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระแก่โจทก์ที่ 2
นายศราวุฒิ พ่อของน้องปาล์มยังบอกอีกว่า ในส่วนหนึ่งก็รู้สึกดีใจที่มีโอกาสได้พูดคุยกับทางนิติกรของฝ่ายจำเลย ที่คาดว่าจะไม่ยื่นฎีกา ส่วนตัวอยากจะขอให้ทางกระทรวงสาธารณะสุขได้พิจารณาชดใช้ค่าเสียหายดังกล่าวให้กับครอบครัว ไม่อยากจะให้ยื่นฎีกาเพราะเป็นเวลามานานร่วม 5 ปีแล้ว ครอบครัวของเราเป็นเพียงประชาชนธรรมดาไม่ได้คิดอยากจะสู้กับใครขอใช้ชีวิตเพื่อเลี้ยงดูครอบครัวเลี้ยงดูลูก สิ่งที่เกิดขึ้นแล้วก็อยากจะให้จบไป
ทางด้าน นางปวีณา หาทรัพย์ แม่ของน้องปาล์ม เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า อาการของน้องปาล์มตอนนี้ดีขึ้น มีการพัฒนาระบบไขสันหลัง เริ่มมีการทรงตัวได้ แต่ยังอ่อนแรงอยู่ ไปไหนมาไหนต้องใช้รถเข็นตลอดเวลา ขณะนี้เรียนที่ศูนย์พิเศษ นนทบุรี ปากเกร็ด โดยช่วงนี้ไปบ้างไม่ไปบ้างเนื่องจากระยะทางที่ไกล โดยหลังจากเกิดเรื่องขึ้นตนเองก็ได้ลาออกจากงานมาดูแลลูกเพียงอย่างเดียว ตอนนี้ภาวนาให้มีปาฏิหาริย์ว่าน้องปาล์มจะสามารถกลับมาเดินได้ตามปกติอีกครั้ง ซึ่งจะดูอาการประมาณ 6-10 ปี หากนานกว่านี้จะต้องเป็นผู้พิการตลอดชีวิต ซึ่งยังมีความหวังเล็กๆอยู่บ้าง โดยทางครอบครัวก็ได้ทำการกายภาพให้น้องปาล์มทุกวัน
ขณะที่น้องปาล์ม พูดคุยกับผู้สื่อข่าวว่า ตอนนี้ต้องใช้รถเข็นตลอดเวลา อยากเดินได้ อยากวิ่งได้เหมือนเพื่อน และโตขึ้นมาอยากเป็นหมอรักษาคนไข้