ขอนแก่น คืบหน้า เข้มทุกโรงพักหลังผู้ต้องหาทำร้ายกันในคุก
คืบหน้าเอส ลูกทรพีฆ่าพ่อตายพร้อมก่อเหตุทำร้ายผู้ต้องหาในห้องขังด้วยกันสาหัส รอง ผบก.ภ.จว.สั่งตรวจสอบความบกพร่อง พร้อมกำชับทุกโรงพักประเมินสถานการณ์ข้อมูลของผู้ต้องหา และจับตาดูผู้ต้องหาในห้องควบคุมตลอด 24 ชม.
ความคืบหน้ากรณี นายยุทธนา หรือเอส แสนภักดี อายุ 37 ปี ผู้ต้องหาคดีฆ่าคนตาย ทำร้าย นายเชาวลิต จำปาหวาย อายุ 27 ปี ผู้ต้องหาในคดียาเสพติดจนบาดเจ็บสาหัส ขณะถูกคุมขังอยู่ภายในห้องควบคุม สภ.หนองเรือ จ.ขอนแก่นเมื่อช่วงบ่ายวันที่ 5 มกราคม ที่ผ่านมานั้น
ผู้สื่อข่าวได้รับการเปิดเผยจาก พ.ต.อ.จรัสพัฒน์ สุตยสรณาคม รอง ผบก.ภ.จว.ขอนแก่น ว่า ได้รับรายงานจาก พ.ต.อ.วิโรจน์รัตน์ จั่นประดับ ผกก.สภ.หนองเรือ จ.ขอนแก่น แล้วว่า หลังเกิดเหตุดังกล่าว ได้มีการตั้งกรรมการขึ้นมาสอบสวนข้อเท็จจริง ทั้งนี้ต้องดูเรื่องความบกพร่องของสิบเวรยาม ที่เข้าเวรปฏิบัติหน้าที่ ที่ห้องคุมขังในขณะนั้นว่า บกพร่องเช่นไร สมเหตุสมผลหรือไม่ เพราะข้าราชการผู้ปฏิบัติหน้าที่ ทราบข้อปฏิบัติเป็นอย่างดีอยู่แล้ว ว่าการจะออกจากจุดที่ปฏิบัติหน้าที่นั้น ควรจะรายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบ หรือแจ้งหัวหน้างานป้องกันและปราบปรามทราบหรือเจ้าพนักงานที่อยู่ใกล้จุดดังกล่าว
“สิบเวรอาจจะคิดว่าเข้าห้องน้ำ ไม่น่าเกิดเรื่องขึ้น เพราะผู้ต้องหาที่คุมขังในห้องควบคุม ไม่มีอาการทางจิตที่บ่งชี้ถึงการจะก่อเหตุรุนแรง เนื่องจากการควบคุมผู้ต้องหานั้น ได้มีการตรวจค้น และห้ามนำสิ่งของที่อาจจะเป็นอันตรายเข้าในห้องขังเด็ดขาด แต่เมื่อเกิดเหตุรุนแรงขึ้นแล้ว ก็ต้องตรวจสอบว่า สิบเวรยาม เดินออกจากหน้าห้องควบคุมเข้าห้องน้ำเมื่อเกิดเหตุทราบเหตุได้อย่างไร แต่ในเบื้องต้นสิบเวรยามมีความบกพร่อง ต้องมีการตรวจสอบว่าบกพร่องเช่นไร”
พ.ต.อ.จรัสพัฒน์ สุตยสรณาคม รอง ผบก.ภ.จว.ขอนแก่น กล่าวต่ออีกว่า ขณะนี้ทราบว่า คนเจ็บยังไม่รู้สึกตัว แต่พนักงานสอบสวนก็ได้แจ้งข้อหากับผู้ก่อเหตุไปแล้ว แต่ถ้าหากมีเหตุสุดวิสัยขึ้นอีกก็สามารถก็แจ้งข้อหาเพิ่มได้ ซึ่งนอกจากแจ้งข้อหากับผู้กระทำความผิดแล้ว ก็ต้องพิจารณาความบกพร่องของสิบเวรด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ก็ต้องดูผลสรุปจากคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อนว่า สิบเวรยาม มีข้อบกพร่องในจุดใด ถ้าสรุปความบกพร่องออกมาแล้ว ก็ต้องพิจารณาทัณฑ์ตามกฏระเบียบของตร.ซึ่งมีทั้งกักบริเวณ หักเงินเดือน โทษทัณฑ์สูงสุดคือให้ออกจากราชการ ซึ่งขณะนี้สิบเวรยามรายนี้ ยังคงปฏิบัติหน้าที่ตามปกติ เพราะทุกอย่างต้องมีการตรวจสอบ และสอบสวนข้อเท็จจริงเสียก่อน พร้อมกำชับทุกโรงพักประเมินสถานการณ์ข้อมูบของผู้ต้องหา และจับตาดูผู้ต้องหาในห้องควบคุมตลอด 24 ชม.
