มาขอนแก่นต้องชม "กู่ประภาชัย" โบราณสำคัญของไทยสร้างในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7   


1 ตุลาคม 61 15:33:04

มาขอนแก่นต้องชม “กู่ประภาชัย” หรือ “กู่บ้านนาคำน้อย” โบราณสำคัญของไทยสร้างในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 แห่งอาณาจักร ขอมราวพุทธศตวรรษที่ 18 สถานที่ท่องเที่ยวตามรอยประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจที่ทุกคนนั้นพลาดไม่ได้


 
ทีมข่าวขอนแก่นลิงก์ได้มีโอกาสไปเยี่ยมชมสถานที่ท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจ ที่นักท่องเที่ยวที่เดินทางมาท่องเที่ยวที่ จ.ขอนแก่น ต้องไม่พลาดเดินทางมาชมความสวยงามและความสมบูรณ์แบบของโบราณสถานที่สำคัญของชาติอีกแห่งหนึ่ง  วัดกู่ประภาชัย ต.บัวใหญ่ อ.น้ำพอง จ.ขอนแก่น ซึ่งภายในเป็นที่ตั้งของกู่ประภาชัย หรือชาวบ้านเรียกกว่า กู่บ้านนาคำน้อย โบราณสถานที่สำคัญของไทยซึ่งกรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม ได้ขึ้นทะเบียนให้เป็นโบราณสถานเมื่อปี พ.ศ. 2478

นายสุภาพ  พัฒน์ใหม่ อายุ 66 ปี ปราชญ์ชาวบ้าน บอกว่า  กู่ประภาชัย หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่ากู่บ้านนาคำน้อย ตั้งอยู่ห่างจากตัวเมืองขอนแก่นประมาณ 57 กิโลเมตร ซึ่งกู่ในภาษาอีสานนั้น หมายความว่า ปราสาทโบราณ โดยที่

กู่ประภาชัยแห่งนี้ เป็นโบราณสถานที่มีลักษณะแผนผัง เป็นอโรคยาศาล สร้างจากหินศิลาแลง สันนิษฐานว่าสร้างในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 แห่งอาณาจักรขอม ราวพุทธศตวรรษที่ 18 (พ.ศ. 1720-1780) โดยภายในบริเวณประกอบด้วยปรางค์ประธานรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสมีมุขยื่นทางด้านหน้า เป็นอาคารรูปสี่เหลี่ยมที่เรียกว่า บรรณาลัย ล้อมรอบด้วยกำแพงแก้ว โดยมีโคปุระหรือซุ้มประตูทางเข้าออกด้านหน้าหรือทางด้านทิศตะวันออกเพียงด้านเดียว นอกกำแพงมีสระน้ำ เชื่อกันว่าน้ำในสระเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์ ขณะที่ภายในบริเวณวัดแห่งนี้ร่มรื่นไปด้วยพันธ์ไม้นานาชนิด มีการจัดส่วนแสดง ที่มีการบอกเล่ารายละเอียดความเป็นมาของกู่ประภาชัย นอกจากนี้ผู้ที่มาเที่ยวชมจะต้องกราบขอพรหลวงพ่อกู่ ซึ่งประดิษฐานอยู่ภายในพิพิธภัณฑ์ โดยหลวงพ่อกู่นี้นั้นชาวบ้านในพื้นที่ให้การเคารพเลื่อมใสศรัทธามาแต่โบราณ

 “ผมเกิดมาก็เห็นกู่ เป็นองค์ตระหง่านอยู่ในป่า ภายในวัดบ้านนาคำน้อยแห่งนี้แล้ว โดยในอดีตมีหญ้าขึ้นรก ต่อมาชาวบ้านก็ช่วยกันดูแลรักษา กราบไหว้ตามความเชื่อ จนกระทั่งกรมศิลปากรได้เข้ามาบูรณะ จนมีความสวยงาม มีนักท่องเที่ยวจากทุกสารทิศมาเที่ยวชม โดยเฉพาะกลุ่มนักเรียน นักศึกษา จะมาเป็นหมู่คณะ เพื่อมาศึกษาหาความรู้ ที่มาของกู่ประภาชัยแห่งนี้ พร้อมกราบขอพรจากหลวงพ่อกู่ ที่ชาวบ้านมีความเชื่อกันว่าศักดิ์สิทธิ์ เพราะเคยมีนักท่องเที่ยว มาเที่ยวชมแล้วเอาหินในกู่กลับบ้านด้วย ขณะเดินทางก็ประสบอุบัติเหตุ จนต้องเอาหินกลับมาคืนที่เดิม และปัจจุบัน ชาวบ้านอัญเชิญหลวงพ่อกู่ ไปประดิษฐานในศาลาพิพิธภัณฑ์ ให้ประชาชนได้มากราบไหว้กันได้สะดวกยิ่งขึ้น พร้อมทั้งได้ชมสระน้ำศักดิ์สิทธิ์ ที่ชาวบ้านช่วยกันดูแลรักษามาตั้งแต่โบราณจนถึงปัจจุบัน น้ำไม่เคยแห้งและไม่เคยล้มเอ่อ แต่น้ำเต็มตลอดทั้งปี โดยในอดีตนั้น มีเรื่องเล่าขานกันมาว่าช่วงเดือนเมษายน หรือเดือนห้า จะมีการประกอบพิธีโยงสายสิญจน์รอบบ่อน้ำ พระสงฆ์ 9 รูป 9 วัด สวดภาวนา เจริญพระพุทธมนต์ ในวันเพ็ญ 15 ค่ำ เดือน 5 ประจำทุกปี และสรงน้ำรอบปราสาท โดยประชาชนสามารถตักเอาน้ำในสระกลับบ้านได้ นอกจากนี้ยังได้นำน้ำในบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ไปประกอบพระราชพิธีในวโรกาสต่างๆ 3 ครั้ง โดยครั้งแรกเมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 มีพระชนมายุครบ 5 รอบ 60 พรรษา ครั้งที่ 2 เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ครบ 6 รอบ  72 พรรษา และ ครั้งที่ 3 เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 มีพระชนมายุครบ 84 พรรษา เมื่อปี 2554”

นายสุภาพ  กล่าวต่ออีกว่า สำหรับหินก้อนใหญ่ ที่วางอยู่ในแท่นหน้าอาคารพิพิธภัณฑ์และส่วนจัดแสดง นั้นในอดีตตนเองเคยบวชเป็นพระที่วัดกู่ประภาชัยมาหลายปี ทราบจากคำบอกเล่าของปู่ย่าตายายและคนสมัยก่อนว่า หินก้อนใหญ่ว่า  ในช่วงปีพ.ศ.2511-2522 มีชาวต่างชาติมาเที่ยวชมกู่ประภาชัยและเห็นหินก้อนใหญ่ และทราบความเป็นมาของหินว่า เป็นหินที่อยู่บนยอดไม้ ชาวต่างชาติจึงขอซื้อ 1 ล้านบาท แต่ชาวบ้านและพระสงฆ์ในวัดอยากได้ล้านห้า เพื่อจะเอาเงินมาสร้างวัด อยู่ๆรองเจ้าอาวาสฯในขณะนั้นก็ปวดท้องขึ้นมากะทันหัน ชาวบ้านจึงเข้าไปช่วยเหลือ แต่พระกลับบอกว่า ขายหินก้อนใหญ่ไม่ได้ เพราะมีพระธุดงค์ห่มจีวรมาบอกว่าไม่ให้ขาย ชาวบ้านและทางวัดจึงไม่ขายหินก้อนใหญ่ รวมทั้งได้พากันทำขัน 5  มาขอขมาหิน  อาการปวดท้องของรองเจ้าอาวาสก็หายเป็นปลิดทิ้ง จึงเป็นที่มาของหินศักดิ์สิทธิ์หรือหินก้อนล้าน

“นอกจากนี้ ในช่วงหน้าฝนก่อนจะทำนา  ชาวบ้านจะร่วมกันประกอบพิธีบวงสรวงปรางค์กู่  โดยเอาเม็ดข้าว  เม็ดงา  เม็ดถั่ว พริก  มะเขือ  มาใส่ห่อ พร้อมดอกไม้ มีธูปเทียน ขัน 5 ขัน 8 ขัน 9 แล้ว เอาใส่หาบ ให้ลูกหาบทั้งหญิงชาย ไปทำพิธีที่ปรางค์กู่ ปู่ภูทั้งเก้า ปู่ตาห้าหลัง ปู่หลังเขียว และปู่ผาแดง  พร้อมเครื่องสักการะ ข้าวเหนียว ไข่ไก่ ไข่เป็ด เหล้าไห  ไก่ตัว  เมื่อทำทำพิธีเสร็จเรียบร้อย ก็จะจุดบั้งไฟใหญ่ ถ้าบั้งไฟทะยานขึ้นก็ทำนายได้ว่าฝนฟ้าจะดี อย่างไรก็ตามอยากให้นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติเข้า มาเที่ยวชมกู่ประภาชัย นอกจากได้ทราบความเป็นมาแต่โบราณแล้วยังได้กราบไหว้ สักการบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพื่อเป็นสิริมงคลต่อตัวเองและครอบครัว แต่สิ่งที่อยากฝากไว้คือ เมื่อเที่ยวชมแล้ว ก็ให้ช่วยกันดูแลรักษา ห้ามฉกฉวยเอาสิ่งของในวัดในปรางค์กู่ไปเด็ดขาด แต่น้ำในบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์นั้นสามารถตักเอากลับบ้านได้อีกด้วย”


 

 







เว็บโฮสติ้ง

เว็บโฮสติ้ง   Cloud Web Hosting   Streaming Server   VPS