ขอนแก่น อดีตผบก.ภ.จว.เลย อมเงินลูกน้องยอมจ่ายเดือนละ30ล้านบาท
"สุทิพย์" อดีตผบก.ภ.จว.เลย ย้ำชัดจะทำตามสัญญา ขอเวลาอีกไม่นาน ยอมทยอยจ่ายคืนวันละ 30 ล้านบาท ปมทุจริตอมเงินลูกน้อง 229 ล้านบาท ด้านรองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 4 เผยขบวนการนี้ไม่ธรรมดา เงินสะพัดร่วม 5,000 ล้านบาท ประสาน ปปง.,ก.ล.ต.และแบงค์ชาติ เอาผิดทั้งหมด
เมื่อเวลา 15.00 น. วันที่ 13 มิ.ย.2561 ที่กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 4 จ.ขอนแก่น พล.ต.ต.ธนาศักดิ์ ฤทธิเดชไพบูลย์ รอง ผบช.ภ.4 ในฐานะโฆษกตำรวจภูธรภาค 4 ให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนว่า ได้รับการประสานงานจาก พล.ต.ต.สุทิพย์ ผลิตกุศลธัช รอง ผู้บัญชาการสำนักงานกำลังพล สำนักงานตำรวจแห่งชาติ อดีต ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดเลย ซึ่งตกเป็นผู้ถูกร้องเรียนและแจ้งความดำเนินคดีฐานฉ้อโกงประชาชนจากกรณีการทุจริตเงินโครงการรวมหนี้และบริหารหนี้ ของข้าราชการตำรวจ 192 นาย ในสังกัดตำรวจภูธร จ.เลย โดยในวันนี้เป็นการนัดให้มารายงานตัวและให้ปากคำต่อคณะกรรมการสอบสวน แต่ปรากฏว่าไม่เดินทางมาแต่อย่างใด โดยที่ พล.ต.ต.สุทิพย์ ได้ประสานงานผ่านโทรศัพท์ ในการยืนยันที่จะนำเงินมาคืนให้กับผู้ใต้บังคับบัญชา แต่ขอเวลาสักพัก เนื่องจากในขณะนี้เงินทั้งหมดนั้นถูกล็อคระบบในการลงทุนของตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งเครือข่ายที่ พล.ต.ต.สุทิพย์ ร่วมลงทุนด้วยนั้นสามารถแก้ไขสถานการณ์ได้แล้ว และพร้อมที่จะนำเงินมาคืนให้กับตำรวจ จ.เลยได้ ตั้งแต่วันพรุ่งนี้ ( 14 มิ.ย.) เดือนละ 30 ล้านบาท จนกว่าจะครบจำนวน 229 ล้านบาทที่ได้นำไป
พล.ต.ต.ธนาศักดิ์ ยังบอกอีกว่า ซึ่งการเจรจาหรือการชี้แจงของ พล.ต.ต.สุทิพย์ เป็นสิทธิ์ที่เจ้าตัวทำได้ แต่วันนี้ในเมื่อไม่มารายงานตัวและเข้าให้การกับคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงของกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 4 ก็หมดเวลาในการเจรจาตามที่ได้ให้โอกาสแล้ว และ พล.ต.ท.สุรชัย ควรเดชะคุปต์ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 4 ได้แต่งตั้งตนให้เป็น หัวหน้าพนักงานสืบสวนและสอบสวนในเรื่องที่เกิดขึ้น ซึ่งถือว่าเป็นอำนาจทางกฎหมายที่จะเอาผิดกับ พล.ต.ต.สุทิพย์ ในข้อหากู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน ซึ่งจากนี้ไปคณะทำงาน ที่ต้องแยกออกเป็นชุดสืบสวน จะต้องลงพื้นที่หาข้อมูลและเชื่อมโยงพฤติกรรมของกลุ่มขบวนการดังกล่าวที่เกี่ยวข้องกับ พล.ต.ต.สุทิพย์ ขณะที่ชุดสอบสวน นั้นโดยกลุ่มงานกฎหมายและคดีกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 4 จะลงพื้นที่ จ.เลย เพื่อสอบปากคำตำรวจทั้ง 192 นาย เพื่อสรุปสำนวนสั่งฟ้องต่อไป ซึ่งจากนี้ไป เรามีเวลาทำงาน 2 เดือนในการสรุปสำนวนคดีที่เกิดขึ้น และวันนี้ได้มีการออกหมายเรียกให้ พล.ต.ต.สุทิพย์ เข้ามาให้ปากคำและรับทราบข้อกล่าวหาแล้วเป็นครั้งที่ 1 โดยมีกำหนดระยะเวลา 7 วันนับจากนี้
พล.ต.ต.ธนาศักดิ์ ฤทธิเดชไพบูลย์ รอง ผบช.ภ.4 ในฐานะโฆษกตำรวจภูธรภาค 4
ซึ่ง ณ ขณะนี้ได้ประสานงานร่วมกับ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน หรือ ปปง. ในการตรวจสอบเส้นทางการเงินของกลุ่มขบวนการที่เชื่อมโยงกับ พล.ต.ต.สุทิพย์ ที่พบว่าเป็นการร่วมลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ และกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งขณะนี้ได้ประสานงานไปยัง สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือ ก.ล.ต. ในการตรวจสอบข้อเท็จจริงว่ามีการนำเงินไปลงทุนหรือไม่ อย่างไร และกลุ่มธุรกิจอะไรบ้าง รวมทั้งการตรวจสอบข้อมูลการลงทุนในกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่ จ.ขอนแก่นและหลายจังหวัดในภาคอีสาน นอกจากนี้ยังได้มีการประสานงานร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทย ในการตรวจสอบการปันผลกำไรหรือค่าตอบแทนในการลงทุน ต่างๆ เนื่องจาก พล.ต.ต.สุทิพย์ และ กลุ่มขบวนการที่ร่วมลงทุนไปด้วยนั้น ยืนยันในการปันผลกำไรสูงถึงร้อยละ 2.8 ต่อสัปดาห์
ซึ่งขบวนการที่ พล.ต.ต.สุทิพย์ นำเงินของข้าราชการตำรวจ ภ.จว.เลย จำนวน 229 ล้านบาทไปลงทุนนั้นพบว่า มีเครือข่ายขนาดใหญ่และมีผู้ร่วมลงทุนจำนวนมาก ครอบคลุมทุกภูมิภาคของไทย ซึ่งจากการตรวจสอบเส้นทางการเงินพบว่ามีเงินหมุนเวียนมากถึงเดือนละ ไม่น้อยกว่า 5,000 ล้านบาท ซึ่ง พล.ต.ต.สุทิพย์ เป็น 1 ในสายที่ร่วมลงทุนด้วย ขณะเดียวกันหลังมีการร้องเรียนในประเด็นที่เกิดขึ้น พบว่า มีผู้เสียหาย ทั้งจาก จ.หนองบัวลำภู,ขอนแก่น,เลย และ อีกหลายจังหวัดเดินทางเข้าแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าถูกขบวนการแชร์ลูกโซ่ดังกล่าวนี้หลอกลวง ซึ่ง บช.ภ.4 ได้ตั้งคณะทำงานเข้ามารับผิดชอบคดีนี้โดยเฉพาะ และขณะนี้ตำรวจรู้ตัวผู้ต้องหาที่เป็นนายใหญ่ แล้ว เป็น ชาว จ.หนองบัวลำภู ซึ่งได้ถูกออกหมายจับแล้ว 5 คดี ขณะนี้ยังคงหลบหนีอยู่ภายในประเทศ ดังนั้นการดำเนินคดีของเครือข่ายแชร์ลูกโซ่นี้ ตำรวจไม่ได้นิ่งนอนใจ ทั้งหมดเป็นไปตามขั้นตอน ขอให้ทุกคนสบายใจได้เพราะตำรวจทำงานเป็นทีมและเอาคนผิดมาลงโทษตามกฎหมายให้ได้ทุกคน
