กรณีนางจอมทรัพย์  แสนเมืองโคตร หรือครูจอมทรัพย์เข้าร้องเรียนกระทรวงยุติธรรมให้รื้อคดีหลังตกเป็นจำเลยในคดีขับรถชนคนตายแต่ต่อมาศาลฎีกาสั่งยกคำร้อง ทำให้ถูกตำรวจจับรวมทั้งมีการเปิดเผยขบวนการปั้นพยานเท็จจนมีการเชิญเจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษหรือดีเอสไอมาสอบปากคำ และ บช.ภ.4 ได้แต่งตั้งให้ พล.ต.ต.ธนาศักดิ์ ฤทธิเดชไพบูลย์ รอง ผบช.ภ.4 เป็นหัวหน้าชุดพนักงานสอบสวนคดีปั้นพยานเท็จครูจอมทรัพย์ บช.ภ.4 โดยมีคณะกรรมการสอบสวน จำนวน 30 ท่าน ซึ่งมีตำแหน่งในระดับ ผกก. และ รอง ผบก. ในสังกัด บช.ภ.4 เพื่อสอบสวนในประเด็นฝ่ายประชาชน และ เจ้าหน้าที่ของรัฐ (ดีเอสไอ) ที่เกี่ยวข้องในเรื่อง "ปั้นพยานเท็จครูจอมทรัพย์" 

และในวันที่ 28 ธ.ค. 2560 ที่ผ่านมา คณะกรรมการสอบสวน บช.ภ.4 ส่งสำนวนทั้งหมดที่เป็นส่วนสอบปากคำของประชาชนที่คาดว่าจะเกี่ยวข้องมอบให้ ผบก.ภ.จว.นครพนม และพนักงานสอบสวนส่งให้อัยการจังหวัดนครพนมเพื่อส่งฟ้องศาลตามกฎหมายต่อไป ส่วนสำนวนที่เป็นข้าราชการมาช่วยราชการที่กระทรวงยุติธรรม และเจ้าหน้าที่ดีเอสไอ 14 คน แบ่งเป็น 2 ชุด ชุดละ 7 คน ชุดแรกคณะกรรมการสอบสวนพิจารณาเห็นว่าทั้งหมดมีส่วนบกพร่องอยู่บ้าง เพราะรู้แล้วพยานหลักฐานเป็นเท็จไม่ดำเนินการให้ถูกต้องตามระเบียบกฎหมาย ซึ่งเป็นความบกพร่องเล็กน้อย ก็ต้องส่งเรื่องให้ต้นสังกัดพิจารณาความเหมาะสม ส่วนชุดที่สองคณะกรรมการแต่งตั้งขึ้นมาให้ตรวจสอบในเรื่องมีการร้องเรียนกรณีไม่ได้รับความเป็นธรรมจากเจ้าหน้าที่รัฐในเรื่องครูจอมทรัพย์ เมื่อรู้แล้วว่าเป็นเท็จคณะกรรมการสอบหาข้อเท็จจริงชุดที่สองยังดำเนินการต่อ ไม่ขอเลื่อนหรือยุติการตรวจสอบ ถือว่าเป็นความบกพร่องต่อหน้าที่ซึ่งมีความผิดตามมาตรา 157 ฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ คณะกรรมการสอบสวน บช.ภ.4 ได้รวบรวมส่งให้ ป.ป.ช. ให้พิจารณาฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบในวันที่ 28 ธ.ค.2560 ที่ผ่านมา ตามข่าวที่เสนอมาโดยตลอด

 

ความคืบหน้าในเรื่องดังกล่าว เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 16 ม.ค. พล.ต.ต.ธนาศักดิ์ ฤทธิเดชไพบูลย์ รอง ผบช.ภ.4 หัวหน้าชุดพนักงานสอบสวนคดีปั้นพยานเท็จครูจอมทรัพย์ บช.ภ.4 เปิดเผยว่า คดี "ปั้นพยานเท็จครูจอมทรัพย์"ในส่วนของภาคประชาชนได้ส่งสำนวนทั้งหมดให้กับอัยการจังหวัดนครพนมไปเมื่อวันที่ 28 ธ.ค. 2560 ที่ผ่านมา จากนั้นอัยการได้ส่งมาให้พนักงานสอบสวนและคณะกรรมการสอบสวน บช.ภ.4 ได้สอบเพิ่มเติมอีก 2 - 3 ประเด็นยังขาดอยู่ โดยเฉพาะในส่วนที่เป็นพยานแต่ละปาก ประมาณ 5-6 ปาก ซึ่งไม่ใช่สาระสำคัญในด้านของคดีแต่เป็นการประกอบสำนวนให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น เพราะอัยการได้ตรวจสอบสำนวนแล้วยังขาดประเด็น วัน เวลา สถานที่อยู่ของพยานต่างๆที่เกี่ยวกับคดีนี้ เพราะพยานที่ให้การไปแล้วยังคลุมเครือว่าร่วมด้วยไหม ดังนั้นจึงต้องมาสอบพยานให้ชัดเจนในเรื่องดังกล่าว ขณะนี้ดำเนินการเรียบร้อยหมดแล้ว และส่งให้อัยการดำเนินการเพื่อส่งฟ้องศาลต่อไป ในข้อกล่าวหาร่วมกันนำสืบหรือแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จต่อศาล และซ่องโจร.

 

ก่อสิทธิ์   กองโฉม  ขอนแก่น   /รายงาน