"มานพ แสงมี" ลูกชาวนาชาวขอนแก่น ผู้สร้างแบรนด์น้ำจิ้มแจ่วฮ้อน "อภิรมย์"   


29 กรกฎาคม 59 13:02:53

"มานพ แสงมี" ลูกชาวนาชาวขอนแก่น ผู้สร้างแบรนด์น้ำจิ้มแจ่วฮ้อน "อภิรมย์" หวังยกภาพลักษณ์อีสานสู่สากล
 
    วันนี้ขอนแก่นลิงค์จะพาท่านมารู้จัก เฒ่าแก่น้อยร้อยล้าน หนุ่มภูเวียงแห่งเมืองหมอแคน ผู้เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังกระหายความสำเร็จ จากลูกชาวนาที่ไขว่คว้าหาชัยชนะผ่านการทำธุรกิจทุกรูปแบบ ปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ เริ่มตั้งแต่เป็นลูกจ้าง ไปประกอบธุรกิจคอมพิวเตอร์ในยุคเฟื่องฟู สร้างรายได้กว่าร้อยล้าน สู่ธุรกิจที่หวังยกภาพลักษณ์ของชาวอีสานที่ทันสมัยด้วยธุรกิจ น้ำจิ้มแจ่วฮ้อน  ด้วยการผสมสูตรด้วยหลักการทางวิศวกรรม   

    “อ้อด-มานพ”  บอกว่าอยากให้ผู้คนได้จดจำ คนอีสานมีที่ภาพลักษณ์ที่งดงาม น่ารัก เปี่ยมไปด้วยน้ำใจ มีไมตรีจิต เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แบ่งปัน และที่สำคัญคนอีสานมีสุนทรีย์ ความสนุก ในวิถีการดำเนินชีวิต

     สำหรับน้ำจิ้มแจ่วฮ้อนอภิรมย์ เป็นสิ่งที่เติมเต็มให้เห็นถึงวิถีชีวิตคนอีสานที่มีอาหารการกินที่ทันสมัยไม่แพ้ สุกี้ ชาบู เนื้อย่างเกาหลี  แต่รสชาติสะท้อนความเป็นตัวตนคนอีสานอย่างมีอัตลักษณ์ การมีน้ำจิ้มแจ่วฮ้อนจึงช่วยให้ชีวิตความเป็นอยู่ของคนอีสานง่าย สะดวกสบายขึ้น ซึ่งอนาคตหวังส่งออกไปยังต่างประเทศให้คนอีสาน คนไทยที่อยู่ต่างประเทศได้รับประทานอีกด้วย

    เรามาทำความรู้จักเขากันว่าเขาผ่านเส้นทางชีวิตมาอย่างไร และมีวิธีคิด เทคนิคสู่ความสำเร็จได้อย่างไร


  
หนุ่มน้อยลูกชาวนา ฝันอยากเป็นไอ้หนุ่มผมยาวโซโลกีตาร์สุดเท่

     “มานพ แสงมี” ชื่อเล่น “อ้อด” ลูกชาวนา บ้านเกิดอยู่ อ.ภูเวียง  จังหวัดขอนแก่น  มี แม่เป็นคนขอนแก่นพ่อเป็นคนจังหวัดยโสธร จุดผกผันที่ได้เข้ามาเรียนในตัวเมืองขอนแก่น  เพราะตอนเรียน ม.3  มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลภาคอีสาน ส่งนักศึกษาที่เป็นรุ่นพี่ไปแนะแนวเรียนต่อที่โรงเรียน   รุ่นพี่แต่งตัวเท่มากไว้ผมยาว แถมดีดกีตาร์เพราะ  จึงเป็นแรงบันดาลใจให้อยากเรียนมหาวิทยาลัยราชมงคล  จึงตั้งใจสอบเข้าเรียนในระดับปวช.เอกอิเล็คทรอนิกส์ได้ดังใจ  ได้เป็นหนุ่มก่อนวัยอันควร...ได้แต่งตัวชุดนักศึกษากางเกงขายาว ในขณะที่เพื่อนส่วนมากยังใส่ขาสั้นไปเรียน และเรียนต่อระดับปวส.เอกคอมพิวเตอร์



เปลี่ยนชะตาชีวิต...มนุษย์เงินเดือน(น้อย)...จากวุฒิปวส. สู่ ป.ตรี
      จบปวส. เมื่อปี 2540 ไปหางานทำได้สามปี  พบว่าจบปวส.ได้เงินเดือนน้อยกว่าคนจบปริญญามาก  จึงตั้งใจว่าจะเรียนต่อป.ตรีอีกสองปี  เพื่อจะได้เงินเดือนเพิ่มมากขึ้น  จึงมาสอบเรียนต่อได้ที่คณะวิศวกรรมศาสตร์ สาขาไฟฟ้า ภาคพิเศษ  มหาวิทยาลัยขอนแก่น มาสอบทั้งๆ ที่อินทิเกรตไม่เป็น  ช่วงสองปีก่อนจะจบป.ตรี  ใช้ชีวิตอยู่กับการดื่มเหล้าเยอะมาก ทำให้การเรียนตกต่ำ เกรดดิ่งลง  จึงตั้งสติและหยุดดื่มแล้วหันมาเอาจริงเอาจังกับการเรียน  โดยใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ในห้องสมุด ไม่ไปไหนเลย  นั่งอ่านหนังสือทั้งวัน จากเท็กซ์อ่านไม่เป็น อินทิเกรดไม่เป็นก็ศึกษาจนเป็นอยู่ในห้องสมุด  

      การอ่านหนังสืออยู่ในห้องสมุดทั้งวันโดยไม่ให้เบื่อนั้น ก็ใช้วิธีเลือกเอาหนังสือนิยายพวกยาขอบ ผู้ชนะสิบทิศ ขุนศึก  หรือหนังสือเกี่ยวกับเซลล์(การขาย)ที่ประสบความสำเร็จมาตั้งวางข้างๆ  นั่งอ่านตำราไปสักชั่วโมง  ก็สลับมาอ่านนิยายอีกชั่วโมง  และนี่ก็เป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญ และสั่งสมถึงความได้คิดว่าคนที่ประสบความสำเร็จก็คือคนธรรมดานี่เอง  แม้เราจะเป็นคนบ้านนอกถ้าหากตั้งใจก็สามารถประสบความสำเร็จในชีวิตได้ และก็เรียนจนจบปริญญาโดยใช้เวลา 4 ปี...!!!


 
ชอบงานขาย กระหายชัยชนะ

     จบปริญญาตรีด้วยเกรดน้อย  จึงไปขอฝึกงานโรงงานอุตสาหกรรมอยู่ที่อ.น้ำพอง จ.ขอนแก่น เพื่อค้นหาตัวเอง  แต่ก็พบว่าไม่ใช่วิถีชีวิตที่ต้องการ พบว่ามันเป็นงานที่มีเพดานบิน ทำเท่าไรก็ยังจะได้เท่านั้น  และรู้สึกว่าเป็นงานที่ขาดไฟ ขาดวิสัยทัศน์ และขาดคอนเนคชั่น ที่โรงงานมีเพื่อนๆ เยอะมาก พอตกเย็นก็ชวนไปแต่นั่งหน้าเวทีหมอลำ จนรู้สึกว่านี่ไม่ใช่ตัวตน  จึงเปลี่ยนงานพลิกไปเป็นเซลล์ขายสินค้าตาม อบต. และงานประชาสัมพันธ์ซิมดีแทค ไปเดินตากแดดหน้าดำ อยู่ 1 ปี  เพราะสนุกที่ได้พบปะพูดคุยกับผู้คน  แต่เป็นเพราะแม่คอยรบเร้าให้ไปสมัครทำงานเป็นวิศวกรตามที่เรียนจบมา ...แต่ก็ยังรู้สึกว่านั่นไม่ใช่เป้าหมายชีวิต  
    ในช่วงที่ทำงานในโรงงานนั้น  ยามดื่มก็นั่งถกเรื่องปรัชญาในวงเหล้า แต่ด้วยความทะเยอทะยานตั้งแต่สมัยเด็กที่คิดจะเป็นเจ้าของกิจการ  และมีชีวิตที่มีคุณค่า  จึงรู้สึกกระหายชัยชนะอยากมีความสำเร็จมาโดยตลอด


 

ทะยานสู่เจ้าของธุรกิจด้วยเงินลงทุนเพียง 50,000 บาท ลุยสุดแรงเฉก..แม่ทัพหน้า 
      
ต่อจากนั้นก็ยังเปลี่ยนงานอยู่อีกหลายอย่าง  ตอนที่ทำงานเป็นเซลล์ ได้ทำงานกับหน่วยราชการพบเจอกับหลายหน่วยงาน ที่ใช้ระบบทำงานใต้โต๊ะ  จึงเลิกทำงานเซลล์ไป  และปีพ.ศ.2548 ก็ไปอยู่กับเพื่อนชื่อ “โอม” ทำงานเป็นวิศวกรที่บริษัทซีเกท  “โอม”   เป็นคนฉลาด มีวิสัยทัศน์ เป็นคนที่วางแผน และชี้เป้างานให้ทำ ในขณะที่ตัวเองรู้สึกว่าโง่ไม่เก่งวางแผน  แต่รู้ว่าตัวเองสามาถทำงานได้ในฐานะเป็นแม่ทัพชอบทำงานลุย  จึงไปเช่าร้านที่จ.นครราชสีมา และเริ่มทำงานหลายอย่าง จนมาลงตัวกันที่ร้านมือถือ ทั้งที่ไม่มีความรู้ด้านนี้  โดยขอเงินลงทุนจากแม่ได้ 50,000 บาท  ที่ได้ทุนมาแค่นี้เพราะยังไม่มีผลงานอะไรให้แม่เชื่อถือ  เปิดร้าน “โอมมือถือ”  ใช้วิธีหาความรู้จากการเลียบเคียงถามช่างซ่อมมือถือซึ่งเขามีวุฒิม.3 แรกๆ ก็มีแค่เปลี่ยนเคส  ติดวอลเปเปอร์ 
     ในร้านมีเพียงตู้วางสินค้า 1 ตู้ ใช้วางกล่องมือถือยี่ห้อต่างๆ เพื่อน “โอม” ก็ลงทุนร่วมโดยรูดบัตรเครดิตมาร่วมหุ้น เริ่มทำงานตั้งแต่ 6 โมงเช้า เลิกงานตีสามตีสี่ เพราะใช้เวลาไปกับการซ่อมโทรศัพท์  และในระหว่างนี้ก็ได้คิดงานใหม่เพิ่ม จนกระทั่งมี 4 ธุรกิจ คือ โอมโมบาย โอมคอมที่เป็นต้นกำเนิดร้านปัจจุบัน โอเอ็นจิเนียริ่งซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวเรือน และ บริษัท โอมเพล็กซ์ คอร์ปอเรชั่น  ตั้งขึ้นเพื่อรับซ่อมอุปกรณ์ในโรงงาน เป็นช่วงที่ทำเงินได้เดือนละไม่น้อย...



แม้หาเงินได้มากกว่าเงินเดือนวิศวกร... แต่คิดกลับบ้านเพื่อ “ทดแทนพระคุณแม่”
      จากความคิดตอนต้นๆ อยากมีเงินเดือนมากกว่าวิศวกร  แต่เป้าหมายสำคัญคือได้กลับมาอยู่บ้านกับแม่ เพราะพอคำนวณว่าในอีก 20 ปี แม่จะอายุ 80 ปี หากทำงานโรงงานอุตสาหกรรมก็จะได้กลับบ้านแค่ช่วงวันสงกรานต์กับวันขึ้นปีใหม่ ก็จะได้เจอแม่เพียงแค่ 40 ครั้ง  จึงแยกตัวจากเพื่อนกลับบ้าน จึงได้มาเปิดร้าน “โอคอม” เป็นร้านที่สอง  และมีความคิดที่ว่า ไม่อยากคุมร้านอิเล็คทรอนิคส์ เพราะยากตรงที่ต้องคุมช่าง  ต้องอาศัยช่างมาก แต่ร้านคอม เป็นงานที่ซื้อมาขายไปซึ่งง่ายกว่ากันมาก จึงเปิดร้านขึ้นมาอีก 8 ร้าน รวมเป็น 9 ร้าน ทำไร่มันอีก 200 ไร่ และกิจการอื่นๆ อีก 
     แต่ปี พ.ศ.2553 รู้สึกว่าธุรกิจในอนาคตจะตกต่ำลงเพราะสินค้าทดแทน เพราะความเป็นช่างอิเล็คทรอนิกส์ เห็นเครื่องเล่นดีวีดีจากราคาหมื่นซ่อมสองพัน แต่ปัจจุบันลดราคาเหลือ 600 บาท และเมื่อพังแล้วก็ทิ้งเลย คอมพิวเตอร์ในอนาคตก็จะเป็นเหมือนกัน  จึงเป็นที่มาของการปิดกิจการร้านขายเครื่องคอมพิวเตอร์


กลุ่มเพื่อนที่เรียน MBA มข.

เรียนต่อ MBA มข. เพราะอะไร?...
      ทีแรกเป็นคนอินดี้ มีโลกส่วนตัวสูง ได้ไปลองดีกับ MBA ด้วยอยากรู้ว่าคนมีเงินแล้วเรียนได้หรือไม่ด้วยความโอหังของผมแต่งตัวใส่เสื้อยืดนุ่งยีนส์ ผมยาว แต่หลังจากที่ได้เป็นศิษย์ MBA  แล้วก็ไม่เคยมีใครได้เห็นผู้ชายผมยาวคนนั้นอีกเลย   และอีกอย่างจากที่เคยอบรมเรื่องหลักการห่วงโซ่คุณค่า Value Chain  กับอ.ศักดิ์ชัย เจริญศิริพรกุล ที่สอนการตลาดที่ MBA มข. ทำให้รู้สึกประทับใจและอยากเรียนมาก  จึงได้ตั้งเป้าหมายที่จะเรียนให้ได้  เมื่อปลายปี พ.ศ.2555 จึงสมัครเรียน MBA และได้เรียนดังใจ  ทำให้เรียนรู้ว่าในการทำธุรกิจนั้น  หากเรามีความสามารถในด้านใดด้านหนึ่งและตลาดโตพอให้ขยายตัวในแนวดิ่ง คือ เปิดสาขาเพิ่ม แต่หากธุรกิจที่ทำมีข้อจำกัด และมีอายุของมัน ควรขยายธุรกิจแนวราบ คือ ทดลองสร้างธุรกิจใหม่ ในสายอื่นๆ ที่แตกต่าง  ผมจึงเปิดร้านเครื่องสำอางสามร้าน  และทดลองเปิดร้านอาหารอีกร้าน   

กับคำถามว่า ... เรียน  MBA ได้อะไร?...
      เรียน MBA ทำให้มีกรอบกระบวนทัศน์ทางความคิด อันที่จริง คนฉลาดเขาก็คิดได้แต่อาจคิดสะเปะสะปะ  แต่ MBA สอนให้เรียงลำดับความสำคัญ  สอนได้ให้มีวิสัยทัศน์ รู้จักต่อยอด  สอนให้ค้นหาคำตอบว่าจะหาได้จากที่ไหน คำตอบทุกอย่างไม่ได้อยู่ใน MBA แต่ MBA สอนให้รู้จักหาคำตอบ  และในตอนเรียน ผมเป็นคนมีสมาธิสูงในการเรียน จะนั่งฟังและแกะคำพูดอาจารย์สอนออกมาเป็นหน้ากระดาษ เพื่อเพื่อนๆ จะได้อ่านง่ายด้วย
      ครั้นถามว่า  เรียนวิศวะได้อะไร?  ก็ได้คำตอบว่า... เรียนวิศวะสอนให้มีตรรกะทางความคิด  สอนให้แก้ปัญหาให้ขาด ไม่ใช้แก้ปัญหารายวัน ทุกวันซ้ำซาก และป้อวกันไม่ให้เกิดปัญหาอีก คนวิศวะเป็นคนกบถทางความคิด จะไม่เชื่อใครง่ายๆ หากสั่งงานลูกน้องมีคนบอกว่าทำไม่ได้ จะไม่ยอม ต้องตอบว่า “ผมยังทำไม่ได้พี่ แต่จะทำจนได้พี่“ เพราะหากตอบว่า ผมไม่สามารถทำได้หรอก มันจะปิดกั้นความคิดที่จะทำจนสำเร็จ แต่ถ้าตอบว่า ผมยังทำไม่ได้ ผมจะพยายาม มันรู้สึกได้ว่า คนๆ นั้นจะทำได้ในอนาคตสักวันแน่นอน


 
ผุด....สูตรน้ำจิ้มแจ่วฮ้อน..จากหลักการวิศวกรรม
      น้ำจิ้มนี้ได้มาจากการเป็นวิศวกรนี่ล่ะครับ โดยใช้วิธีแวเรียนค่าจดตารางแบบเอ็กเซลล์ เพราะไม่ใช่คนทำกับข้าวอร่อย กว่าจะได้สูตรนี้มาก็เริ่มต้นจากใช้หม้อใบเล็กต้มปรุงเททิ้งหม้อแล้วหม้อเล่า คำนวณสูตรค่า ทำเป็นเวกเตอร์  เพราะไม่ใช่คนชิมลิ้นทองคำ จึงใช้หลักการวิศวกรรมมาจับสูตรน้ำจิ้มแจ่วฮ้อน  เพราะแนวคิดว่าหากเป็นหม้อใหญ่ๆ จะต้องใช้หลักการอะไรถึงจะมีรสชาติคงเดิม  จากความรู้ที่ได้มาตอนที่ทำงานในบริษัทผลิตรังนกชื่อดัง และบริษัทเขียนฮาร์ดดิสก์มาก่อน จึงได้นำหลักการวิทยาศาสตร์มาใช้  วิจัยเครื่องปรุงทุกชนิด ชิมจนได้ส่วนผสมที่เสถียร จึงเกิดมาเป็นสูตรน้ำจิ้มแจ่วฮ้อนขึ้นมา  ทดสอบสูตรโดยการแจกน้ำจิ้มแบบไม่อั้น และนับเก็บข้อมูลเมื่อมีคนร้องขอกินซ้ำ

ทำไมเป็น “น้ำจิ้มแจ่วฮ้อน”
     เคยทำร้านแจ่วฮ้อนร่วมกับเพื่อนรุ่นน้องเรียน MBA ด้วยกัน และมีทำเลร้านสวย  จากแนวคิดที่ว่าธุรกิจต้องขยายตัวในแนวราบ เพื่อสร้างความหลากหลาย เพราะเราไม่รู้ร้านไหนจะเป็นเพชรเม็ดงาม  ร้านที่เปิดใช้น้ำจิ้มจาก ร้านพี่ที่รู้จัก ก็มีลูกค้าประจมากินำ แต่ก็ฉุกคิดมาคิดได้ว่า หากซื้อน้ำจิ้มมาใช้อย่างนี้วันไหนเขาไม่ท ำก็จะไม่ได้ขาย การบริหารต้นทุนยาก ปรุง บริการ จัดเก็บ ซึ่งการยืมจมูกคนอื่นหายใจไม่ใช่เรื่องดี  และด้วยความกบถทางความคิดของผมเอง  และการทำร้านแจ่วฮ้อนนั้นยุ่งยาก จากการมีขั้นตอนต่างๆ รวมทั้งการใช้เวลาในการเตรียมของ การจัดร้าน กระทั่งการเก็บร้านตั้งแต่เช้าจนดึกจึงเสร็จสิ้นกระบวนการ ซึ่งเป็นการทำงานที่ใช้เวลามาก  จึงมองหาว่าจะทำอะไรที่ง่ายต่อการจัดการ จึงลงตัวมาที่การทำน้ำจิ้มแจ่วฮ้อนเอง  เริ่มจากการไปซื้อแจ่วฮ้อนเพื่อชิมน้ำจิ้มหลายร้าน และปรับสูตรอยู่นานเป็นปี จนได้เป็นสูตรน้ำจิ้มแจ่วฮ้อน “อภิรมย์”  เป็นแจ่วฮ้อนที่มีรสชาติสามารถกินได้ทุกคน

ที่มาของชื่อยี่ห้อ น้ำจิ้มแจ่วฮ้อน “อภิรมย์” 
คิดกันหลายชื่อ  แต่ผมประทับใจในเรื่องที่พระอานนท์  พุทธาอนุชา พูดในเทป ตั้งแต่ปี พ.ศ.2548 และฟังมานับร้อยเที่ยว  มีบทสนทนาเป็นกาพย์กลอนในสมัยโบราณว่า  “น้องหญิงเรามาร่วมอภิรมย์ กันเถอะ....”  ฟังแล้วรู้สึกว่าคำว่า “อภิรมย์” ช่างเพราะเหลือเกิน และเปิดดูความหมายแปลว่า “สนุก  เรามาสนุกด้วยกันเถอะ” ประกอบกับหุ้นส่วนคู่บุญชื่อ ภิรมย์  จึงขอเอาตัว “อ” ใส่หน้าชื่อ “ภิรมย์” และความหมายของชื่อนั้น  หมายความถึง “เรามาสนุกกันเถอะ”  จึงเป็นที่มาของน้ำจิ้ม “อภิรมย์”  น้ำจิ้มแจ่วฮ้อนที่มีต้นกำเนิดมาจากภูมิปัญญาคนอีสาน ผสมผสานกับวัตถุดิบเช่นเดียวกับสุกี้ แต่รสชาติสะท้อนความเป็นตัวตนคนอีสานอย่างมีอัตลักษณ์

เขียนโดย วัชรา  น้อยชมภู

###

 

 

 

 

 







เว็บโฮสติ้ง

เว็บโฮสติ้ง   Cloud Web Hosting   Streaming Server   VPS